การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) และ กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ฉบับใหม่ เพื่อทดแทนบันทึกข้อตกลงเดิมที่สิ้นสุดวันที่ 22 สิงหาคม 2568 โดยครั้งนี้ได้ขยายขอบเขตความร่วมมือให้ครอบคลุมถึง ข้อมูลการติดตามรถบรรทุก สำหรับการควบคุมความปลอดภัย และวิเคราะห์ระบบขนส่งสินค้า ถือเป็นก้าวสำคัญในการแลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกัน เพื่อสนับสนุนการดำเนินภารกิจของทั้งสองหน่วยงาน ยกระดับประสิทธิภาพการบริหารงาน การอำนวยความสะดวกในการบริการลูกค้าและประชาชน โดยมีนายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ กทท. และนายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เป็นผู้ลงนาม ณ ห้องประชุมชั้น 19 อาคาร กทท.
นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า การท่าเรือแห่งประเทศไทยและกรมการขนส่งทางบก ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการประสานความร่วมมือในการบูรณาการแลกเปลี่ยนข้อมูลหน่วยงานรัฐ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนภารกิจด้านการแบ่งปันข้อมูลทางทะเบียนยานพาหนะ ข้อมูลใบอนุญาตผู้ประจำรถ และข้อมูลระบบบันทึกข้อมูลการเดินทางของรถ (DLT GPS) ของกรมการขนส่งทางบก รวมถึงข้อมูลสารสนเทศที่เป็นประโยชน์ เพื่อใช้สำหรับการวิเคราะห์สาเหตุและปัญหาการจราจรติดขัดในพื้นที่การท่าเรือฯ และเป็นข้อมูลประกอบการดำเนินงานโดยเป็นเครื่องมือสนับสนุนให้การท่าเรือฯ หาแนวทางการแก้ไขผลกระทบที่เกิดจากปัญหาการจราจรบริเวณเขตท่าเรือ ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการแก้ไขปัญหาในระยะยาวอย่างยั่งยืน อีกทั้งการท่าเรือฯ จะสนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการขนส่งสินค้า ข้อมูลการบรรทุกสินค้าที่อยู่ในความควบคุม กำกับของการท่าเรือฯ ข้อมูลจำนวนรถบรรทุก ข้อมูลทะเบียนรถ ลักษณะและประเภทของสินค้าที่ผ่านท่าเรือทุกแห่งภายในประเทศเพื่อประโยชน์ในการดำเนินภารกิจหลักของกรมการขนส่งทางบกในการพัฒนาระบบการขนส่งสินค้าของประเทศ และถือเป็นการดำเนินการ เพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดินและการให้บริการประชาชนและเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนต่อไป
สำหรับการลงนามในความร่วมมือในครั้งนี้เป็นการต่อยอดและขยายขอบเขตกรอบการบูรณาการด้านข้อมูล ได้แก่ การติดตามการเดินรถของรถบรรทุกขนส่งสินค้าในบริเวณพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบังและท่าเรือกรุงเทพ เพื่อนำไปวิเคราะห์ข้อมูลแนวทางในการแก้ไขปัญหาจราจรบริเวณท่าเรือ อันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ของประเทศ โดยการท่าเรือแห่งประเทศไทยและกรมการขนส่งทางบกเล็งเห็นถึงความสำคัญของข้อมูลที่จะสามารถนำมาปรับใช้กับภารกิจของแต่ละหน่วยงาน ซึ่งหวังว่าความร่วมมือกันในวันนี้จะเป็นการช่วยยกระดับและพัฒนาด้านระบบการขนส่งสินค้าของประเทศไทยต่อไป
นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ กทท. เปิดเผยว่า ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนถึงความก้าวหน้าของระบบคมนาคมและโลจิสติกส์ไทยด้วยการใช้ประโยชน์จาก Big Data เพื่อขับเคลื่อนการทำงานภาครัฐสู่ยุคดิจิทัล โดยการเสริมศักยภาพการบริหารจัดการยานพาหนะที่เข้า-ออกเขตท่าเรือ สามารถตรวจสอบ ควบคุม ลดปัญหาการจราจรติดขัด และเพิ่มความปลอดภัยในพื้นที่ท่าเรือได้อย่างเป็นระบบ ทั้งหมดนี้จะสร้างประโยชน์โดยตรงต่อผู้ประกอบการ ผู้ใช้บริการท่าเรือ และระบบเศรษฐกิจโดยรวม ทั้งยังช่วยลดต้นทุนด้านการขนส่งและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และยังเป็นการวางรากฐานสำคัญสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาคอาเซียน
ผู้อำนวยการ กทท. กล่าวต่อว่า ภายใต้บันทึกข้อตกลงครั้งนี้ กทท. และ ขบ. ได้กำหนดแนวทางการเชื่อมโยงข้อมูลที่สำคัญร่วมกัน ทั้งข้อมูลทะเบียนยานพาหนะ ใบอนุญาตผู้ขับรถ ข้อมูลการเดินทางจากระบบ GPS ตลอดจนข้อมูลด้านการขนส่งสินค้า อาทิ ปริมาณการบรรทุก ประเภทสินค้า จำนวนรถบรรทุกที่เข้าใช้บริการท่าเรือ ทั้งหมดนี้เพื่อใช้ประโยชน์ในการตรวจสอบ ควบคุม และบริหารจัดการการขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งนำไปวิเคราะห์เพื่อกำหนดมาตรการด้านการขนส่งที่รัดกุมและทันสมัยมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ทั้งสองหน่วยงานยังร่วมกันส่งเสริมบุคลากรในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ในด้านต่าง ๆ เช่น การตรวจสอบ การวิเคราะห์ และการประมวลผลข้อมูล รวมถึงการพัฒนาเทคนิคในการติดตามและกำกับดูแลยานพาหนะ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายสอดคล้องตามนโยบายของรัฐ พ.ร.บ. การบริหารงานและการให้บริการ ภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562
การลงนาม MOU ครั้งนี้ เป็นการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ สะท้อนบทบาทสำคัญของการท่าเรือแห่งประเทศไทยในฐานะกลไกหลักที่ช่วยยกระดับระบบโลจิสติกส์ ลดต้นทุนการขนส่ง เสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
Advertisement