นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (บอร์ดส่งเสริมฯ สสว.) แถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ครั้งที่ 2/2568 ว่าที่ประชุมได้เร่งผลักดันมาตรการส่งเสริม SME ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างมูลค่าให้กับ SME ให้พร้อมรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจได้อย่างเข้มแข็ง ผ่าน 3 มาตรการหลัก ดังนี้
1. “สร้างรายได้” ส่งเสริม SME บุกตลาด e-Commerce และ Live Commerce
e-Commerce เป็นช่องทางหลักที่ผู้ประกอบการใช้นำเสนอสินค้าสู่ผู้บริโภค อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการ SME ต้องเสียส่วนแบ่งกำไรกว่า 30% ให้กับการใช้บริการแพลตฟอร์ม e-Commerce ที่ให้บริการในปัจจุบัน ทำให้ SME มีต้นทุนสูง ดังนั้น บอร์ดส่งเสริมฯ จึงมีนโยบายให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการดำเนินการพัฒนาศักยภาพของแพลตฟอร์ม e-Commerce ของไทย โดยอาจร่วมมือกับ Thailand Post Mart หรือแพลตฟอร์มอื่น ๆ ที่ สสว. เห็นว่ามีความเหมาะสม อีกทั้งใช้จุดแข็งของไปรษณีย์ไทยที่มีสาขา และระบบโลจิสติกส์ครอบคลุมทั่วประเทศในการเสริมความแข็งแกร่งของระบบ e-Commerce เบื้องต้นบอร์ดส่งเสริมฯ อนุมัติกรอบงบประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อการพัฒนาขีดความสามารถของระบบนิเวศ e-Commerce อย่างไรก็ตาม มอบหมายให้ สสว. เสนอแผนการดำเนินงานต่อบอร์ดส่งเสริมฯ ต่อไป
2. “ขยายโอกาส” ส่งเสริม SME เข้าถึงตลาดจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ สร้างโอกาสให้ SME กว่า 750,000 ล้านบาท
นายประเสริฐฯ ย้ำถึงมาตรการของรัฐบาลในการสนับสนุนให้ SME เข้าถึงการจัดซื้อภาครัฐ (THAI SME-GP) โดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ได้ดำเนินการร่วมกับกรมบัญชีกลาง ด้วยสิทธิพิเศษที่ให้ภาครัฐจัดซื้อจัดจ้างจาก SME ก่อน และให้แต้มต่อราคา 10% สำหรับ SME และเพิ่มสูงสุด 15% สำหรับสินค้า Made in Thailand ซึ่งปีงบประมาณ 2567 มียอดจัดซื้อจัดจ้างสูงถึง 726,211 ล้านบาท ดังนั้น บอร์ดส่งเสริมฯ จึงมีนโยบายให้ สสว. เร่งดำเนินการและขยายผลมาตรการด้วยการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ให้ SME ทราบในวงกว้าง เพื่อเพิ่มการเข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐผ่านมาตรการ THAI SME-GP โดยคาดการณ์ว่ามูลค่าการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐสำหรับ SME จะยังคงมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 750,000 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2568
3. “เสริมแกร่ง” ด้วยวงเงิน 2,700 ล้านบาท ปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ 1% ระยะเวลาปลอดชำระเงินต้นสูงสุด 1 ปี ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุด 5 ปี
นอกจากนี้ บอร์ดส่งเสริมฯ สสว. ได้จัดสรรงบประมาณ 2,700 ล้านบาท อัดฉีดเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพียง 1% ระยะเวลาปลอดชำระเงินต้น 1 ปี คาดว่าจะสามารถปล่อยกู้ได้ในเดือนสิงหาคม 2568 เพื่อเสริมแกร่งธุรกิจ SME ไทย โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มเป้าหมายหลัก ได้แก่
1.Transformation Fund (วงเงิน 1,000 ล้านบาท) มุ่งเน้น SME ที่ต้องการพัฒนารูปแบบธุรกิจให้ทันสมัยด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล นวัตกรรม และแนวคิดธุรกิจที่ยั่งยืน เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น
2.Enhancement Fund (วงเงิน 1,000 ล้านบาท) สำหรับกลุ่ม SME ที่มีศักยภาพ เช่นธุรกิจสีเขียว การทำธุรกิจเกษตรสมัยใหม่ ธุรกิจดิจิทัล ธุรกิจบริการด้านสุขภาพ ธุรกิจหุ่นยนต์อัจฉริยะ และธุรกิจสร้างสรรค์ เพื่อการเติบโตอย่างก้าวกระโดดและยั่งยืนในระยะยาว
3.กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่อง (วงเงิน 700 ล้านบาท) เสริมสภาพคล่องและทุนหมุนเวียนภาคท่องเที่ยว
นายประเสริฐฯ กล่าวทิ้งท้ายว่าการประชุมในครั้งนี้ เป็นการเร่งดำเนินการเพื่อ "สร้างรายได้ ขยายโอกาส เสริมแกร่ง” ธุรกิจ SME ไทยให้สามารถก้าวข้ามความท้าทายทางเศรษฐกิจและเติบโตได้อย่างยั่งยืน ด้วยกลยุทธ์ที่ครอบคลุม ทั้งการสร้างโอกาสให้ SME เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ การส่งเสริมตลาด e-Commerce และการสนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ให้เป็นประโยชน์ต่อ SME ไทยอย่างแท้จริง สสว. เชื่อมั่นว่า SME ไทยจะยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้ก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง
ด้านนายฐิติพงศ์ เขียวไพศาล ประธานกรรมการบริหารสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวว่า สินค้าเอสเอ็มอีไทยจำเป็นต้องจ่ายค่าธรรมเนียมในลักษณะของ “คอมมิชชั่น” หรือ “มาร์จิ้น” ให้กับแพลตฟอร์มออนไลน์ในอัตรา 30% ถึง 35% ซึ่งหมายความว่า หากขายสินค้าในราคา 100 บาท รายได้ที่ถึงมือผู้ประกอบการจะอยู่ที่ประมาณ 70 บาทเท่านั้น ส่งผลให้รายได้ของผู้ประกอบการลดลงอย่างชัดเจน
ขณะเดียวกันภาครัฐเองก็มีแพลตฟอร์มอยู่หลายแห่ง แต่ต้องยอมรับว่าเรายังไม่สามารถบูรณาการแพลตฟอร์มเหล่านั้นเข้าด้วยกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความสามารถในการแข่งขันของแพลตฟอร์มยังไม่สามารถเทียบเท่ากับแพลตฟอร์มระดับมืออาชีพระดับสากลได้
โดยหลายคนตั้งคำถามว่า การสร้างแพลตฟอร์มขึ้นมาใหม่จะสามารถแข่งขันกับแพลตฟอร์มรายใหญ่ได้หรือไม่ ซึ่งคำถามที่ควรถามกลับคือ “อาวุธของเราคืออะไร?” คำตอบคือ อาวุธของเราคือความตั้งใจในการสร้างแพลตฟอร์มเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs โดยเราไม่ได้ต้องการค่าคอมมิชชั่น 30% หรือ 35% และไม่มุ่งหวังกำไรในลักษณะเดียวกับผู้ประกอบการรายอื่น
ส่วนเรื่อง “Key Success” ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญ โดยหนึ่งในปัจจัยแห่งความสำเร็จที่เรามองไว้คือระบบโลจิสติกส์ ซึ่งภาครัฐได้ร่วมมือกับบริษัทไปรษณีย์ไทย ทั้งในด้านการขนส่งสินค้าและการใช้สาขาของไปรษณีย์ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศเป็นกลไกสนับสนุน
ขณะที่นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงาน รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวว่า เราได้รับการอนุมัติวงเงินกู้สําหรับดอกเบี้ยต่ำ สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี จำนวน 2,700 ล้านบาท ซึ่งจัดสรรให้กับกลุ่ม Transformation SME, Enhancement SME รวมถึงธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ทั้งนี้เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องและเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจเอสเอ็มอี โดยใช้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเป็นพิเศษ
นอกจากนี้ภาครัฐยังให้ความสำคัญกับการลดต้นทุนในด้านช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า โดยเฉพาะในยุคที่อีคอมเมิร์ซไลฟ์กลายเป็นช่องทางสำคัญในการขายสินค้า ซึ่งที่ผ่านมาผู้ประกอบการไทยยังต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มจากต่างประเทศเป็นหลัก ส่งผลให้ต้องแบกรับต้นทุนที่สูง เพื่อตอบโจทย์ปัญหานี้จึงได้ร่วมมือกับบริษัทไปรษณีย์ไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ และเพิ่มโอกาสในการสร้างกำไรจากการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ให้มากยิ่งขึ้น
Advertisement