(15 ต.ค. 2568) "กัน จอมพลัง" เปิดเผยถึง กรณีนักสิทธิมนุษยชนที่ออกมาพูดถึงการซาวด์ผี ว่า ความคิดเห็นของนักสิทธิมนุษยชนเป็นความคิดเห็นส่วนหนึ่ง แต่เป็นส่วนน้อย กับจำนวนคนที่เปิดให้โหวต ซึ่งตอนนี้ประมาณ 99% อยากให้ตนเองเดินหน้าทำต่อ แต่ตนก็รับฟังความคิดเห็น และหยุดเลย แต่ตนเป็นห่วงคำพูดของนักสิทธิต่างๆ ที่ชาวเขมรจะเอาคำพูดเหล่านี้ ไปสร้างความชอบธรรมให้กับเขมรเอง
ซึ่งหากยังเป็นอย่างนี้ต่อไป สุดท้ายคนที่เสียเปรียบคือประชาชนคนไทย เพราะเค้าเอาคำพูดของนักสิทธิไปใช้ แต่ที่จริงแล้วภารกิจดังกล่าวมันมีภารกิจที่ซ้อนอยู่ด้านในอีกที แต่ไม่สามารถพูดได้ และอยากให้นักสิทธิมนุษยชนฟังคำเตือนของประชาชนด้วย ตนเชื่อว่าไม่ได้เก่งกว่าคนที่เตือนหรอก ลองรับฟังนิดหนึ่งและระมัดระวังเรื่องคำพูด พร้อมตั้งคำถามกลับว่าทำไมไม่ออกมาปกป้องเด็กน้อยแปดขวบหรือคนที่ถูกกระทำที่เป็นคนไทยบ้างล่ะ
นักสิทธิมนุษยชนมีทั้งคนไทย และมีทั้งชาวเขมร ซึ่งนักสิทธิมนุษยชนคนไทยเรามองกลับไปที่เขมร ว่าเค้าก็เลือกที่จะปกป้องเขมรก่อนหรือเปล่า
ส่วนตัวมองว่านักสิทธิมนุษยชน ควรจะคุยกันหลังบ้านเรื่องที่เป็นชั้นความลับหรืออะไรที่จะเกิดผลกระทบต่อประเทศไทยได้ แล้ววันนี้นักสิทธิมนุษยชนพอรู้ว่าอยากให้มาช่วยคนไทยด้วยกัน วันนี้ไม่สายถ้าจะออกไปเรียกร้องหรือไปบอก อย่างที่บอกว่าไปแปลเอกสารของกัมพูชา ท่านควรเอาเรื่องราวของคนไทยเหล่านี้ไปแปลและส่งให้ชาวโลกรู้ว่าเขมรใจร้ายกับเราแค่ไหนทำร้ายคนบริสุทธิ์เด็กน้อยได้ยังไง
พร้อมยืนยันว่า ตนเองพร้อมที่จะทำงานได้กับทุกหน่วย และตนเองก็ลงพื้นที่จริงยินดีทำงานได้กับทุกคน แต่เราก็ต้องรับฟังคนอื่นให้ได้ ซึ่งตนก็รับฟังทั้งทหารตำรวจและเจ้าหน้าที่ บางครั้งการตรงเกินไปอาจจะไม่ใช่ผลดี หลักการหรือเกณฑ์อย่างอื่นที่พลิกแพลงได้ถ้าทำได้ก็อยากให้ทำ บางครั้งเดินอ้อมบ้างก็ได้
สำหรับที่เปิดโหวตไปนั้น ว่าเรื่องเครื่องเสียงจะให้เปิดต่อหรือไม่ ตอนเวลาบ่ายสามโมง แค่มีคนกดเห็นด้วยไปแล้วมากกว่า 438,900 ไลก์ หรือคิดเป็นประมาณ 99% ซึ่งถ้าประชาชนเรียกร้องก็เป็นไปได้ที่เราจะเอาไปเปิด พร้อมฝากไว้ว่า ไม่ว่าเสียงอะไรชาวเขมรก็ว่าว่าเราไม่ดีหมด ซึ่งวันนี้ทำอะไรก็ไม่ถูกใจเขมร เขมรพยามใส่ร้ายเราตลอด ก่อนหน้านี้เขมรก็เคยเปิดบทสวดใส่เรา ตอนนี้ก็ไม่แน่นะ เราอาจจะเปิดบทสวดกลับ
Advertisement