ในช่วงฤดูฝนปีนี้ประเทศไทยยังคงเผชิญกับสภาพอากาศแปรปรวน โดยเช้าวันนี้ (9 ก.ย. 68) “กรมอุตุนิยมวิทยา” รายงานว่า ตลอด 24 ชั่วโมงข้างหน้า จะมีฝนตกหนักหลายพื้นที่ โดยเฉพาะภาคตะวันออก ได้แก่ จังหวัดระยอง จันทบุรี และตราด ซึ่งอาจมีฝนตกหนักมากในบางแห่ง พร้อมเตือนประชาชนให้ระมัดระวังอันตรายจากฝนสะสมที่อาจทำให้เกิดน้ำท่วมขัง น้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก
สำหรับพื้นที่เขตเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ปัญหาฝนตกหนักมักมาพร้อมกับความเสี่ยง น้ำรอการระบาย ที่สร้างผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ขณะที่ภาคกลางยังต้องเผชิญกับปัญหา น้ำเหนือหลาก ที่มักไหลรวมลงสู่เจ้าพระยาก่อนเข้าสู่กรุงเทพฯ จึงทำให้การติดตาม “สถานการณ์น้ำ” เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ใช่หน้าที่ของหน่วยงานรัฐ แต่ประชาชนก็ควรรู้เท่าทันสัญญาณเตือนภัยเพื่อเตรียมการรับมือ
ตัวชี้วัดสำคัญจากภาคกลางสู่กรุงเทพฯ
การเฝ้าระวังปริมาณน้ำจากเขื่อนและสถานีวัดน้ำสำคัญตามลุ่มน้ำเจ้าพระยา ถือเป็น “ตัวชี้วัด” ที่บ่งบอกแนวโน้มความเสี่ยงน้ำท่วม โดย ดร.สนธิ คชวัฒน์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย อธิบายถึงตัวชี้วัดน้ำท่วมและเกณฑ์เฝ้าระวังที่ส่งผลโดยตรงต่อกรุงเทพฯ ดังนี้
• เขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท (สถานี C.13)
หากสถานีวัดน้ำที่เขื่อนเจ้าพระยาปัจจุบันคือ สถานี C.13 เขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท ระบายน้ำออกมาถึง 2500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จะทำให้เกิดสภาวะน้ำท่วมพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรี อ่างทอง และอยุธยาในวงกว้างมากขึ้น
• จุดรวมแม่น้ำใหญ่ที่อยุธยา
จังหวัดอยุธยามีน้ำจาก 3 สาย ได้แก่ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก (จากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี) และแม่น้ำน้อยจะมารวมกันบริเวณหน้าวัดพนัญเชิง จ.อยุธยา ก่อนจะไหลลงสู่บางไทร หากที่ สถานี C.29A บริเวณศูนย์ศิลปาชีพบางไทร ตรวจวัดได้ ตั้งแต่ 2,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีขึ้นไป จะทำให้พื้นที่ปทุมธานี นนทบุรี และกรุงเทพฯ มีระดับน้ำสูงขึ้นประมาณ 1 เมตร จนน้ำอาจล้นตลิ่งได้
• แนวทางป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ
ในอีกด้านหนึ่ง ดร.สนธิ ได้เสนอวิธีการบริหารจัดการน้ำ เพื่อช่วยลดผลกระทบและป้องกันไม่ให้กรุงเทพฯ ต้องเผชิญกับสถานการณ์น้ำท่วม ดังนี้
ตัดยอดน้ำเข้าทุ่ง - นำน้ำเหนือเข้าสู่พื้นที่ลุ่มต่ำในจังหวัดอยุธยา เช่น บางบาล ผักไห่ และเสนา เพื่อหน่วงและกระจายน้ำ
ตัดยอดน้ำจากแม่น้ำป่าสัก - ควบคุมการปล่อยน้ำจากเขื่อนพระราม 6 (อ.ท่าเรือ) ไม่ให้ไหลตรงเข้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยาทั้งหมด แต่เบี่ยงลงสู่คลองระพีพัฒน์ คลอง 13, 14 คลองรังสิต คลองแสนแสบ เพื่อนำน้ำออกสู่แม่น้ำบางปะกงและอ่าวไทย
เบี่ยงน้ำลงคลองชายเลียบทะเล - ตัดน้ำบางส่วนที่ผ่านคลอง 13 (คลองพระองค์เจ้าอนุชิต) เพื่อนำออกสู่คลองชายเลียบทะเล จ.สมุทรปราการ ก่อนลงสู่อ่าวไทย
แม้การป้องกันน้ำท่วมส่วนใหญ่ต้องอาศัยการจัดการของภาครัฐ แต่ถ้าประชาชนติดตามตัวชี้วัดน้ำก็จะช่วยเตรียมตัวรับมือได้ทันเวลา ลดความเสียหายและความตื่นตระหนก การเฝ้าระวังปริมาณน้ำจากเขื่อนและสถานีวัดน้ำจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการเตือนภัยและวางแผนรับมือ
Advertisement