วันที่ 23 ส.ค. 68 ดรามา วัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี ลุกลามใหญ่โต ตั้งแต่การตั้งข้อสังเกตเรื่องความโปร่งใส ในการเปิดรับบริจาคเงิน และสิ่งของ เพื่อนำไปช่วย ผู้ป่วยเอดส์
ล่าสุดเกิดประเด็นใหม่ หลังจากชื่อของ หลวงพ่ออลงกต อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ ตรงกับนาย อลงกต พลมุข อดีตข้าราชการที่เสียชีวิตใน อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา ทำให้มีการตั้งคำถามถึงประเด็นการสวมชื่อ
ทั้งนี้นาย เฉลิมพล พลมุข ประธานมูลนิธิธรรมรักษ์ กล่าวชี้แจงกรณีดังกล่าว นายอลงกตเป็นญาติสนิทของตัวเอง และในงานศพได้ไปร่วมพิธีสวดพระอภิธรรมด้วย ซึ่งได้มีการพูดคุยกับญาติคนอื่นๆ ว่าชื่อเหมือนกัน แต่ไม่ได้ลงในรายละเอียด และไม่ได้ถามภรรยาของนายอลงกตที่เสียชีวิตว่าเหตุใดชื่อ-นามสกุล ถึงเหมือนกัน เพราะอยู่ในบรรยากาศงานศพ
พร้อมตั้งคำถามการตั้งชื่อ-นามสกุล ในสมัยก่อน มีคนที่มีชื่อและนามสกุลเหมือนกันจำนวนไม่น้อย และทะเบียนราษฏร์ในอดีต ก็ไม่ได้มีความชัดเจนเหมือนปัจจุบัน ต้องไปตรวจสอบเลขบัตรประชาชน 13 หลักว่าตรงกันหรือไม่
ส่วนรายละเอียดที่หลวงพ่อขณะที่เป็นนักฟุตบอลในจังหวัดขอนแก่นใช้ชื่อว่า “เกรียงไกร เพชรแก้ว” ตนไม่ทราบเรื่องนี้ และยังไม่ได้เรียนถามหลวงพ่อ เพราะแม้แต่นามสกุลของตัวเอง ที่ตรงกับหลวงพ่อ ก็ไม่เคยถามว่าเป็นญาติฝ่ายไหน
กรณีที่ดินของวัดที่ใช้ชื่อบุคคลอื่นถือครอง รวมถึงมูลนิธิที่มีการถือครองทรัพย์สินจำนวนมากนั้น เกินความจำเป็นของการทำนุบำรุงศาสนาหรือไม่ นายเฉลิมพล อ้างว่า ต้องแยกทรัพย์สินของวัด และมูลนิธิออกจากกัน เพราะถือว่าเป็นคนละส่วน วัดถือครองที่ดินแค่ไม่กี่ไร่ ส่วนมูลนิธิมีเพียง 5 มูลนิธิ ส่วนที่่สื่อมวลชนเสนอข่าวว่า มีมูลนิธิจำนวน 6 มูลนิธินั้น ไม่ใช่ข้อเท็จจริง เพราะมี 1 มูลนิธิได้ปิดไปแล้ว โดยแต่ละมูลนิธิได้มีการจัดสรรคอย่างเป็นสัดส่วน
ส่วนร่างทั้ง 29 ศพ ที่เก็บไว้นั้น มีคำถามว่าเก็บไว้เกินความจำเป็นหรือไม่ นายเฉลิมพล อ้างว่า เป็นความประสงค์ของเจ้าของร่าง ที่ต้องการมอบให้วัดพระบาทน้ำพุ เนื่องจากไม่อยากเป็นแค่เถ้ากระดูก เพราะวางกองจำนวนมาแล้วในวัด และเพื่อเป็นวิทยาทาน ให้คนรุ่นต่อไปได้ศึกษา เรียนรู้ไม่ประมาทในการใช้ชีวิต ซึ่งทางวัดมีหลักฐานทั้งใบแจ้งตาย หรือใบมรณะบัตร และเอกสารการมอบร่างหลังเสียชีวิตให้กับทางวัด ซึ่งได้มอบให้หลักฐาน ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบแล้ว หากจะถูกเปรียบเทียบปรับทางวัดก็ยินดีและพร้อมจะปรับปรุง
พร้อมย้อนถามไปยังวัดอื่นๆ ที่มีการนำร่างของหล่อปู่ หลวงพ่อ ไว้ให้กราบไหว้ภายในวัด ผิด พ.ร.บ.สุสานและฌาปสถาน ด้วยหรือไม่ หากดำเนินการกับวัดพระบาทน้ำพุ วัดอื่นก็ต้องถูกดำเนินการด้วยหรือไม่
ขณะที่ประเด็นอุปกรณ์การแพทย์ ของบริจาคต่างๆ ที่อยู่ภายในวัด นายเฉลิมพลอ้างว่า บางครั้งสิ่งของที่นำมาบริจาคเป็นของหน่วยงานราชการ ที่ติดต่อวัดให้ไปรับ เมื่อไปรับกลับพบว่า สิ่งของบริจาคเหล่านั้นเป็นเศษขยะ ที่หน่วยงานรัฐไม่ต้องการ และต้องการทิ้ง แต่กลับติดต่อให้วัดนำมาเก็บไว้
ข้อมูลการนำเสนอของสื่อมวลชนก่อนหน้าคลาดเคลื่อนไปมาก และไม่เคยมาสอบถามทางวัดว่าที่มาที่ไปของสิ่งของเหล่านั้น ว่าสาเหตุที่เก็บไว้ในอาคารดังกล่าวเพราะอะไร โดยยกตัวอย่างวอคเกอร์ ที่สื่อเข้าไปถ่ายและอ้างว่าถูกทิ้งไว้ เป็นขยะ แต่วอคเกอร์นั้นถูกเตรียมไว้เพื่อบริจาค และอาคารเมตตาธรรมก็ไม่ได้ทิ้งร่าง เพราะเตรียมจะปรับปรุงอยู่แล้ว เมื่อถามว่าสิ่งไหนที่สื่อนำเสนอไปว่ามีสิ่งไหนที่ไม่เป็นข้อเท็จจริงบ้าง นายเฉลิมพลถามกลับว่า แล้วสื่อนำเสนออะไรที่ไม่เป็นจริงบ้าง
เช่นเดียวกับการให้ยาต้านในการรักษา วัดไม่มีสิทธิที่จะบอกว่าให้ หรือไม่ให้ยาต้าน ผู้ที่มีอำนาจวินิจฉัยในการให้ยาต้าน เป็นหน้าที่ของแพทย์ในโรงพยาบาล
ยกตัวอย่างอาสาสมัครที่มาจากต่างประเทศ ที่เข้ามาภายในวัด บางคนเข้ามากลับพาผู้ป่วยออกไปนอกวัด โดยไม่ได้รับอนุญาต บางคนพาไปในพื้นที่ที่ไม่สมควรไป (กินเหล้า) จึงถามว่าการกระทำดังกล่าวเหมาะสมหรือไม่
รวมถึงยารักษาผู้ป่วย บางคนเข้ามากลับให้ยาซึ่งเป็นอาหารเสริมแก่ผู้ป่วย โดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นสิ่งที่สมควรหรือไม่ เพราะบางครั้งการให้ยา อาหารเสริมนอกจากแพทย์สั่ง อาจส่งผลต่อการรักษาของผู้ป่วย เนื่องจากผู้ป่วยเอดส์บางรายมีภาวะแทรกซ้อนของอาการอื่นร่วมด้วย อาจได้รับอันตรายถึงชีวิตได้
ส่วนประเด็นเรื่องของป้ายข้อความติดหน้ากระจกมูลนิธิธรรมรักษ์ 1 ในวัดพระบาทน้ำพุ ใจความกล่าวถึงบุคลากร องค์กร หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงวัด และอื่นๆ ให้รับทราบเรื่องของสภาพเศรษฐกิจเงินบริจาคลดลงนั้น เพื่อให้ทุกคนงดขอสิ่งของหรือเงินสนับสนุนในช่วงนี้ เพราะที่ผ่านมาหน่วยงานต่างๆ มาขอมากเกินไป จนทำให้สภาพคล่องของวัดได้รับผลกระทบ
Advertisement