ความบันเทิงในรูปแบบของ “ละคร” หรือ “ซีรีส์” มีมาตั้งแต่อดีต และผ่านการปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เหมาะกับยุคสมัย และ อุปกรณ์ที่ใช้รับชม
อย่างเมื่อก่อสมัยเริ่มมีสถานีโทรทัศน์ในประเทศไทย ก็มีละครรูปแบบ “ละครบอกบท” ที่นักแสดงจะพูดตามที่ทีมงานบอกบทมา จากนั้นก็เข้าสู่ยุคละครหลังข่าวที่ได้รับความนิยม โดยแบบเดิมโทรทัศน์ตามบ้านจะมีขนาดและสัดส่วนของหน้าจอที่ต่างจากจอภาพยนตร์ กล่าวคือ จอโทรทัศน์สัดส่วน 3 : 4 ขณะที่จอภาพยนตร์จะมีสัดส่วน 16:9
ซึ่งในสมัยก่อน เมื่อนำภาพยนตร์มาฉายในโทรทัศน์ก็จะปรับขนาด วิธีแรกคือ คงสัดส่วน แต่ก็จะทำให้มีขอบจอดำที่ด้านล่างและด้านบน ขณะที่บางสถานีขณะนั้นก็เลือกจะใช้วิธีปรับสัดส่วนเพื่อให้เหมาะกับจอโทรทัศน์ ทำให้สัดส่วนในภาพผิดเพี้ยนไป เหมือนที่เราจะเห็นตัวละครหรือาภาพลีบๆ
ต่อมาโทรทัศน์ก็เข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่านอีกครั้งเป็น โทรทัศน์แบบดิจิทัล และโทรทัศน์กลับมาใช้สัดส่วนเดียวกับภาพยนตร์คือ 16:9 ทำให้ละครที่เคยถ่ายทำในอดีต เมื่อนำมารีรันก็ต้องปรับสัดส่วนอีกครั้ง เราจึงเห็นภาพตัวละครที่ดูยืดๆออกแนวข้าง ทั้งนี้ก็เพื่อให้ภาพมีขนาดพอดีกับจอ
มาถึงยุคนี้ การเสพความบันเทิงไม่ได้มีแค่ทางจอโทรทัศน์ แต่ยังมีทางจอโทรศัพท์มือถือ หรือ แท็บเล็ต โดยเฉพาะยุคที่คลิปสั้นได้รับความนิยม ผู้ผลิตละครจึงต้องปรับตัวอีกครั้ง เพื่อเสิร์ฟละครให้ตรงกับความต้องการของคนดู โดยมีโจทย์ใหญ่สองข้อคือ 1.เหมาะกับขนาดจอมือถือหรือแท็บเล็ต และ 2.มีขนาดไม่ยาว และนี่เองที่เป็นที่มาของ “ละครแนวตั้ง” หรือ “Vertical Drama”
ละครแนวตั้ง จะมีรูปแบบการถ่ายทำที่เน้นการจัดวางองค์ประกอบภาพในแนวตั้ง เพื่อให้เหมาะสมกับการรับชมบนหน้าจอมือถือ โดยทั่วไปแล้ว ละครแนวตั้งจะมีความยาวตอนละ 1-2 นาที และมีจำนวนตอนค่อนข้างมาก โดยมักจะเน้นการเล่าเรื่องที่กระชับ รวดเร็ว และชวนติดตาม เพื่อดึงความสนใจของผู้ชมในช่วงเวลาสั้นๆ และทิ้งท้ายให้ชวนสงสัยและติดตามตอนต่อไป
Advertisement