หลายคนอาจมีความเข้าใจว่า “การจมน้ำ” เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับเด็กเล็ก แต่ความจริงกลับแตกต่างออกไป เพราะข้อมูลล่าสุดจาก กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่ากลุ่มผู้ที่เสียชีวิตจากการจมน้ำมากที่สุดในประเทศไทยกลับเป็นผู้ใหญ่ โดยเฉพาะคนในวัย 45 ปีขึ้นไป ซึ่งกลายเป็นกลุ่มเสี่ยงที่สำคัญที่หลายคนอาจมองข้ามไป
สถิติการจมน้ำในประเทศไทย 10 ปี
ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากการจมน้ำรวมมากกว่า 36,870 คน คิดเป็นค่าเฉลี่ยปีละประมาณ 3,687 คน หรือเกินกว่า 10 คนต่อวัน ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงและน่ากังวล
เด็กยังเสี่ยง แม้ยอดลดลง
แม้อัตราการเสียชีวิตจากการจมน้ำในเด็กจะลดลงอย่างมากถึงร้อยละ 64 จากประมาณปีละ 1,500 คน เหลือประมาณ 558 คนต่อปี แต่จำนวนนี้ยังสูงกว่าค่าเป้าหมายในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่ตั้งเป้าไว้ไม่เกิน 290 คนต่อปีภายในปี พ.ศ. 2580
โดยเป็นกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี มากถึง 645 คน กลุ่มนี้ยังคงมีผู้เสียชีวิตจากการจมน้ำเฉลี่ยวันละเกือบ 2 คน และถือว่ายังเป็นจำนวนที่สูงอยู่
วัยทำงาน-ผู้สูงอายุ ตายมากขึ้น
ทั้งนี้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 เป็นต้นมา กลุ่มอายุที่มีอัตราการเสียชีวิตมากที่สุดคือกลุ่มวัยทำงาน (45–59 ปี) รองลงมาคือกลุ่มผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ซึ่งแนวโน้มการเสียชีวิตจากการจมน้ำในกลุ่มผู้ใหญ่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มคนทำงานและผู้สูงอายุ
สาเหตุของการจมน้ำ
สำหรับเด็กการจมน้ำมักเกิดจากการเล่นน้ำโดยไม่มีผู้ใหญ่ดูแล หรือพลัดตก ลื่นไถลลงน้ำ และในกลุ่มผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่เกิดจากการประกอบอาชีพที่เกี่ยวข้องกับน้ำ เช่น หาหอย หาปลา เก็บผัก รวมถึงเหตุการณ์พลัดตกหรือลื่นไถลเช่นกัน
ขณะที่แหล่งน้ำที่เกิดเหตุการจมน้ำบ่อยครั้ง ได้แก่ แหล่งน้ำเพื่อการเกษตร ลำคลอง หนองน้ำ บึง รวมถึงเขื่อน ฝาย และอ่างเก็บน้ำ ซึ่งทั้งเด็กและผู้ใหญ่มีความเสี่ยงในพื้นที่เหล่านี้เช่นกัน และสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือเกือบทุกกรณีผู้เสียชีวิตไม่ได้สวมเสื้อชูชีพ
วิธีป้องกันการจมน้ำ
• อย่าเดินหรืออยู่ใกล้บริเวณขอบบ่อ เพราะอาจเกิดการลื่นไถลลงไปในน้ำ
• ทำสัญลักษณ์/ป้ายเตือน/แนวกั้น เพื่อให้สังเกตเห็นขอบบ่อได้ชัดเจน
• ผู้ปกครองไม่ควรปล่อยให้เด็กลงไปในน้ำ
• ไม่ควรลงไปในน้ำ เพราะระดับน้ำ กระแสน้ำ และพื้นใต้น้ำ มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
• หากจำเป็นต้องลงน้ำ ควรสวมเสื้อชูชีพ หรือนำถังแกลลอนพลาสติกเปล่าผูกเชือกสะพายไว้กับตัว เพื่อช่วยในการพยุงตัวเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
ที่มา : กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
Advertisement