แผนเผชิญเหตุของโรงพยาบาลหรือหน่วยงานด้านการแพทย์ในสถานการณ์ "สู้รบ" หรือ "ภัยสงคราม" มีขั้นตอนอย่างไร ความเสี่ยงรูปแบบไหนที่ต้องอพยพผู้ป่วย
แผนเผชิญเหตุของโรงพยาบาลหรือหน่วยงานด้านการแพทย์ในสถานการณ์ "สู้รบ" หรือ "ภัยสงคราม" ถือเป็นหนึ่งในแนวทางการจัดการวิกฤติที่สำคัญและต้องมีการเตรียมพร้อมตามมาตรฐานสากล ทั้งในระดับประเทศและระดับระหว่างประเทศ เช่น มาตรฐานขององค์การอนามัยโลก (WHO), สภากาชาดสากล (ICRC), และแนวทางขององค์กรด้านความมั่นคงสุขภาพ อย่าง Global Health Security Agenda (GHSA) หรือ Inter-Agency Standing Committee (IASC)
1. การประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment & Hazard Mapping)
• วิเคราะห์พื้นที่ตั้งของโรงพยาบาลว่าอยู่ใน "พื้นที่เสี่ยง" หรือไม่
• ประเมินโอกาสที่โรงพยาบาลจะถูกโจมตี (เช่น ใกล้ฐานทัพ, พื้นที่ยุทธศาสตร์)
• การจัดทำ "แผนผังการอพยพ" (Evacuation Maps) ล่วงหน้า
อ้างอิง : WHO Health Emergency Risk Assessment (HERA Framework)
2. แผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Health Continuity Plan / HCP)
• รักษาการทำงานของ "บริการจำเป็น " เช่น ER, OR, ICU, NICU
• มีระบบสำรองไฟฟ้า น้ำ ออกซิเจน เครื่องมือแพทย์
• ระบบซัพพลาย (ยา อุปกรณ์) ต้องมีคลังสำรองอย่างน้อย 72 ชม. – 1 สัปดาห์
• ระบบสื่อสารสำรอง (วิทยุสื่อสาร, ดาวเทียม)
อ้างอิง : PAHO/WHO Hospital Safety Index; USAID Continuity of Operations Plan (COOP)
3. การจำลองสถานการณ์ (Simulation & Drill)
• ฝึกซ้อมภาคปฏิบัติ (Table-top exercise / Field drill)
• ฝึกซ้อมทั้งเจ้าหน้าที่ใน รพ. เจ้าหน้าที่ EMS และหน่วยงานภายนอก เช่น ตำรวจ ทหาร อปพร.
• กำหนด "เจ้าหน้าที่บัญชาการเหตุการณ์ (Incident Commander)" ชัดเจน
อ้างอิง : IASC Emergency Response Preparedness (ERP); WHO SimEx Manual
4. แผนการจัดการผู้บาดเจ็บจำนวนมาก (Mass Casualty Incident – MCI Plan)
• มีระบบ "Triage" หรือคัดแยกผู้บาดเจ็บตามระดับเร่งด่วน (เช่น สีแดง-เหลือง-เขียว-ดำ)
• พื้นที่รับผู้บาดเจ็บแยกตามระดับความรุนแรง
• ระบบจัดลำดับการผ่าตัดเร่งด่วน
• พื้นที่ศพแยก (Morgue Zone)
อ้างอิง : WHO Mass Casualty Management Systems: Strategies & Guidelines for Building Health Sector Capacity
5. ระบบรักษาความปลอดภัยในโรงพยาบาล (Hospital Safety & Security)
• ระบบควบคุมทางเข้า-ออก
• แผนปิดล้อม (Lockdown) กรณีเกิดการบุกโจมตี
• ระบบแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning System)
• อบรมเจ้าหน้าที่ให้เข้าใจวิธี "พาตัวเองและผู้ป่วยเข้าสู่ที่ปลอดภัย"
อ้างอิง : Inter-Agency Standing Committee (IASC) Minimum Operating Security Standards (MOSS)
6. แผนการอพยพผู้ป่วย (Evacuation Plan)
• จัดประเภทผู้ป่วย : ผู้ป่วยนอนติดเตียง ผู้ป่วยวิกฤติ ผู้ป่วยช่วยเหลือตัวเองได้
• วิธีการเคลื่อนย้ายอย่างปลอดภัย (เครื่องมือ / เจ้าหน้าที่ / ทางหนีไฟ)
• สถานพยาบาลสำรอง (Sister Hospital หรือ Field Hospital)
อ้างอิง : WHO: Safe Hospitals in Emergencies and Disasters – Structural, Non-structural and Functional Indicators
7. การจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม (Field Hospital / Mobile Medical Unit)
• ใช้ในกรณีที่โรงพยาบาลหลักเสียหายหรือมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก
• สามารถเคลื่อนย้าย เคลื่อนที่ได้
• บางประเทศใช้ระบบ "Mobile Trauma Teams" ร่วมกับทหารหรือหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน
• ต้องมีระบบประสานงานกับโรงพยาบาลหลัก
อ้างอิง : ICRC Emergency Medical Services Guidelines
8. ระบบข้อมูลสุขภาพและติดตามผู้ป่วย (Health Information System – HIS)
• ระบบจัดเก็บข้อมูลผู้บาดเจ็บ / ผู้เสียชีวิต
• ระบบติดตามตัวบุคคล (กรณีพลัดหลง / สูญหาย)
• ระบบการสื่อสารร่วมกับญาติ / หน่วยงานราชการ
อ้างอิง : WHO eHealth and mHealth Interoperability Standards
9. การดูแลสุขภาพจิตบุคลากรและผู้ประสบภัย (Mental Health and Psychosocial Support – MHPSS)
• มีทีมให้คำปรึกษา / นักจิตวิทยา / นักสังคมสงเคราะห์
• พื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ได้รับผลกระทบทางจิตใจ
• การฝึก Resilience ในบุคลากร
อ้างอิง : IASC Guidelines on Mental Health and Psychosocial Support in Emergency Settings
• ประเมินความเสี่ยงและกำหนดขอบเขต
• วางระบบเผชิญเหตุและซ้อมแผน
• เตรียมทรัพยากร บุคลากร ระบบสนับสนุน
• สื่อสารและประสานงานกับหน่วยงานภายนอก
• ปกป้องบุคลากรและคนไข้
• วางระบบข้อมูลและดูแลจิตใจ
ล่าสุด วันนี้เมื่อเวลา 09.00 น. รพ.พนมดงรัก เคลื่อนย้ายผู้ป่วย ออกจาก รพ. หมดแล้ว ส่วนรพ.กาบเชิง กำลังเคลื่อนย้าย คนไข้
จากเหตุปะทะบริเวณ ปราสาทตาเมือนธม ขณะนี้สถานบริการของ กระทรวงสาธารณสุข เริ่มปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุ โดย รพ.พนมดงรัก เคลื่อนย้ายผู้ป่วย ออกจาก รพ. หมดแล้ว ส่วนรพ.กาบเชิง กำลังเคลื่อนย้าย คนไข้ตามแผน
Advertisement