นายก๊อบ (สงวนนามสกุล) อายุ 58 ปี เปิดเผยว่า ภรรยาตน อายุ 50 ปี รู้จักกับพระรูปดังกล่าวพร้อมกันกับตนเองประมาณ 4 ปี ตอนไปทำบุญที่สำนักสงฆ์ ต่อมาก็เข้าไปทำบุญที่สำนักสงฆ์ตลอดมา จนเมื่อปี 2567 ภรรยาของตนเองได้ขอไปธุระกับพระที่ประเทศลาว ตนเองก็ให้ไป ด้วยความเร่งรีบภรรยาลืมปิดโน๊ตบุ๊คตนเองหวังดีจะไปปิดให้เลยเจอแชตดังกล่าว ต่อมาได้ไปถามทางพระรูปดังกล่าวได้ยอมรับว่าคุยจริง จึงได้ทำการไปร้องที่คณะฝ่ายปกครองของอำเภอแต่ไม่มีความคืบหน้า เลยต้องหอบหลักฐานมาร้องที่สํานักงานพระพุทธศาสนามุกดาหาร เพื่อให้ทำการสอบสวนแล้วลงโทษทางวินัยพระรูปดังกล่าว
ต่อมาเมื่อวันที่ 14 ก.ค. 2568 ทางหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวของได้เชิญทั่งสองฝ่ายมาทำการสอบสวนอีกครั้ง ที่วัด ต.น้ำเที่ยง อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร ซึ่งการร้องในครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 โดยเป็นการอุทธรณ์ของฝ่ายสามี เพราะผลการสอบรอบก่อนเมื่อปี 2567 ไม่เป็นที่ไม่พึงพอใจ โดยผลรอบก่อนทาง พระรูปดังกล่าวได้ยอมรับเป็นความจริงในบางส่วน และหลังจากสอบเสร็จทางคณะกรรมการได้ชี้โทษมูลความผิดตามพระธรรมวินัยแล้วว่า ให้เจ้าตัวไปเข้าฐานะวิถีปริวาสกรรมหลังจากออกพรรษาแล้ว ตามหลักพระธรรมวินัยที่ได้ประพฤติผิด ซึ่งทางผู้ร้องต้องการให้มีการสอบทั่งสองฝ่าย เพราะครั้งแรกนั้นพระให้แต่ฝ่ายเดียว สิ่งที่ต้องการที่มาร้องอีกต้องการให้พ้นจากสังกัดมุกดาหารและสึกไปก็น่าจะดี
นอกจากนี้ยังได้รับการยื่นยันจาก นายธนะเมฐ์ เพชรวงค์รชตะ นายกอบต.หนองเอี่ยน สถานที่สร้างสำนักสงฆ์ของพระรูปนี้ ที่สร้างบริเวณเกาะกลางน้ำยังบุกรุกที่ของ อบต. ซึ่งได้มีการสั่งให้ย้ายออกแล้ว
โดยหลังจะสอบทั่งสองฝ่ายเสร็จแล้ว ทางคณะกรรรมการจะมีการแจ้งผลการสอบอีกครั้ง ซึ่งยังไม่มีการแจ้งอย่างเป็นทางการ
Advertisement