ในช่วงที่การเมืองไทยกาลังระส่ำระสาย จนหลายคนกังวลว่าอาจจะกระทบต่อนโยบายสาธารณะต่างๆ ที่รัฐบาลกำลังขับเคลื่อน รวมถึง "รถไฟฟ้า 20 บาท" สภาผู้บริโภคยืนยันเดินหน้าคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคในการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะ ย้ำเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนทุกคน ไม่ควรยึดโยงกับรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง
กระแสข่าวการเปลี่ยนแปลงในรัฐบาล รวมถึงการถอนตัวของพรรคร่วมรัฐบาล ไปจนถึงประเด็นการยุบสภาที่ร้อนแรงขึ้นทุกขณะ กำลังกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่อาจทำให้นโยบายต่างๆ ของรัฐบาล โดยเฉพาะนโยบายสาธารณะที่อยู่ระหว่างการดำเนินงาน ต้องสะดุดกลางทาง หนึ่งในนั้นคือ "นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท" ซึ่งปัจจุบันได้เริ่มใช้กับรถไฟฟ้า 2 สาย คือสายสีแดง และสายสีม่วง และภายในเดือนสิงหาคมปีนี้ รัฐบาลจะเปิดให้ประชาชนได้ลงทะเบียนในแอปพลิเคชัน "ทางรัฐ" เพื่อใช้บริการรถไฟฟ้า 20 บาททุกสีทุกสาย ก่อนจะเปิดให้ใช้ได้จริง ภายในวันที่ 30 กันยายน 2568 นี้
สิทธิในการเดินทาง ไม่ควรขึ้นกับรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง
ท่ามกลางความไม่แน่นอนนี้ นายคงศักดิ์ ชื่นไกรลาศ ผู้ช่วยเลขานุการคณะอนุกรรมการด้านการขนส่งและยานพาหนะ สภาผู้บริโภค แสดงความเห็นว่า นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ไม่ใช่นโยบายของรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง แต่เป็นข้อเรียกร้องที่มีพื้นฐานมาจากความเดือดร้อนของประชาชน ดังนั้น แม้สถานการณ์การเมืองจะมีความไม่แน่นอน แต่สิทธิของผู้บริโภคไม่ควรขึ้นอยู่กับเสถียรภาพของรัฐบาล
ทั้งนี้ สภาผู้บริโภคจะยังคงเดินหน้าเรียกร้องนโยบายสาธารณะที่ตอบสนองต่อประโยชน์ส่วนรวม และพร้อมทำงานกับทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชุดใด เพื่อให้เกิดระบบขนส่งสาธารณะที่ทุกคนขึ้นได้อย่างแท้จริง
สำหรับเหตุผลที่สภาผู้บริโภคสนับสนุนนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท นั้น จุดมุ่งหมายสำคัญ คือการทำให้ทุกคนเข้าถึงบริการขนส่งสาธารณะได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม โดยประโยชน์ที่ประชาชนได้รับจากนโยบายนี้ไม่ใช่แค่เรื่องราคาค่าโดยสารที่ถูกลง แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้าง "ระบบขนส่งสาธารณะเพื่อคนทุกคน" โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบาง
"ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาล หรือจะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างไร สภาผู้บริโภคยังยืนยันว่า สิทธิในการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะที่ปลอดภัย เป็นธรรม และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนทุกคน" นายคงศักดิ์กล่าว
เสนอตั้ง "กองทุนอุดหนุนบริการขนส่งสาธารณะ"
เมื่อถามถึงแนวทางการแก้ไขปัญหา "รัฐบาลเปลี่ยน นโยบายเปลี่ยน" นายคงศักดิ์ เสนอว่า เพื่อให้ประชาชนได้ใช้รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายอย่างยั่งยืน รัฐควรมีกองทุนอุดหนุนบริการสาธารณะด้านการขนส่งที่มีความต่อเนื่อง โปร่งใส และตรวจสอบได้ เพื่อให้ระบบขนส่งเดินหน้าได้แม้เปลี่ยนรัฐบาล
นอกจากนี้ ต้องมีกลไกการอุดหนุนทางการเงินที่มั่นคงและต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงใช้งบประมาณรายปีแบบเฉพาะกิจ ที่เป็นเงินสะสมของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ รฟม. ซึ่งสามารถสนับสนุนนโยบายนี้ได้เพีบง 1 - 2 ปีเท่านั้น
"หากรัฐบาลมองว่า กองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม ตาม พ.ร.บ.ตั๋วร่วม จะตอบโจทย์นี้ได้ ต้องแสดงที่มาของเงินสมทบกองทุนให้ชัดเจนว่ามาจากแหล่งใด จะช่วยเหลือผู้บริโภคให้เข้าถึงระบบบริการขนส่งสาธารณะได้เพียงใด และความยั่งยืนของกองทุนนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร" นายคงศักดิ์ให้ความเห็น
ผู้ช่วยเลขานุการคณะอนุกรรมการด้านการขนส่งฯ ให้ความเห็นว่า หนึ่งในข้อเสนอที่ทำได้จริง คือการแก้ไขกฎหมายหรือออกกฎหมายใหม่ เพื่อกำหนดให้นำรายได้บางส่วนจากภาษีรถยนต์ ภาษีน้ำมัน ค่าธรรมเนียมรถติดในเมือง รวมถึงเงินสมทบจากกองทุนของ รฟม. หรือการจัดสรรกำไรจากกิจการรถไฟฟ้า นำมาจัดสรรหรือกันไว้โดยเฉพาะ เพื่อใช้สนับสนุนระบบขนส่งสาธารณะที่ไม่ใช่เพียงแค่ในกรุงเทพมหานครเท่านั้น แต่หมายรวมถึงจังหวัดทุกจังหวัดที่ควรมีระบบขนส่งสาธารณะให้บริการในราคาที่ประชาชนเข้าถึงได้
ทั้งนี้ การเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ใช้รถ เพื่อนำกลับมาพัฒนาและอุดหนุนการเดินทางของคนส่วนใหญ่ผ่านระบบขนส่งสาธารณะนั้น เป็นหลักการที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายในประเทศต่างๆ เช่น สิงคโปร์ สหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ และญี่ปุ่น
"ถ้าเราอยากให้นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท หรือการมีขนส่งสาธารณะให้บริการในทุกจังหวัด ไม่ใช่แค่ค"สัญญาทางการเมือง แต่เป็นสิทธิของประชาชนทุกคน เรื่องนี้และต้องเริ่มทไตั้งแต่วันนี้" นายคงศักดิ์กล่าวทิ้งท้าย
เมื่อเสถียรภาพของรัฐบาลยังอยู่ในจุดที่ไม่น่าไว้วางใจ สิ่งที่ต้องยึดมั่นคือ "สิทธิพื้นฐานของประชาชน" ที่ไม่ควรถูกลดทอนหรือเปลี่ยนแปลงไป เพราะความอ่อนไหวทางการเมือง รถไฟฟ้า 20 บาท จึงเป็นมากกว่านโยบาย หากแต่เป็นมาตรวัดว่า ประเทศไทยจะวนเวียนอยู่กับการเปลี่ยนผ่านอย่างไร้ทิศทางหรือไม่? หากเชื่อว่า "สิทธิในการเดินทาง" เป็นเรื่องของทุกคน นี่คือเวลาที่พวกเราต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด เพื่อให้นโยบายนี้เกิดขึ้นและประชาชนได้ใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง
Advertisement