วันที่ 12 มิ.ย. 68 ที่หอประชุมสุภรณ์ วีรวรรณ โรงเรียนชลกันยานุกูล จ.ชลบุรี สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) เปิดตัวโครงการ “ขับเคลื่อนภาคีเครือข่ายภาคประชาชน ผู้ปฏิบัติงาน และเครือข่ายวิชาการ เพื่อคุ้มครองปกป้องผู้สูงอายุ เด็กและเยาวชนจากภัยออนไลน์ : ยกระดับการคุ้มครองผู้บริโภคให้รู้เท่าทันภัยออนไลน์”
เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้เยาวชนและผู้สูงอายุ สามารถป้องกันตัวเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของภัยออนไลน์ พร้อมขับเคลื่อนภาคีเครือข่ายเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคประชาชนในการป้องกันตนเองจากอาชญากรรมไซเบอร์ที่เพิ่มสูงขึ้น
น.ส.ณิญาดา อิ่มเพชร ผู้ช่วยผอ.สำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ (สำนัก 2) สสส. กล่าวว่า การหลอกลวงทางออนไลน์เป็นปัญหาที่สร้างผลกระทบให้กับผู้บริโภค ข้อมูลจากสภาองค์กรของผู้บริโภค ในปี 2567 พบว่า เกือบ 1 ใน 5 ของเรื่องร้องเรียนทั้งสิ้น 18,320 เรื่อง เป็นสินค้าออนไลน์ อาทิ ซื้อสินค้าแต่ไม่ได้รับสินค้า สินค้าไม่ตรงปก โดยมีมูลค่าความเสียหายรวม 39.1 ล้านบาท โดยกลุ่มเด็ก เยาวชนและผู้สูงอายุตกเป็นเหยื่อทางออนไลน์เป็นจำนวนมาก
ในขณะที่ข้อมูลจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติระหว่างปี 2565 – 2567 พบผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อจากคดีหลอกให้รักแล้วโอนเงินจำนวน 4,781 คดี มูลค่าความเสียหายมากกว่า 1.6 พันล้านบาท
“ภัยออนไลน์เป็นเรื่องเฉพาะทางที่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ ในการถ่ายทอดข้อมูลที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของภัยออนไลน์ที่กำลังระบาด ความเสี่ยงที่แต่ละกลุ่มวัยเผชิญ และวิธีการป้องกันตัวอย่างเหมาะสม การทำงานร่วมกันระหว่าง สสส. กับ CIB ถือเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับประชาชน เพื่อป้องกันการถูกหลอกลวงทางออนไลน์ ประสบการณ์การทำงานของ CIB ที่นำบทเรียนจากเคสหรือสถานการณ์จริงมาสร้างกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในวันนี้ให้กับกลุ่มผู้สูงอายุ ทำให้คนในชุมชนเข้าใจและตระหนักว่าภัยเหล่านี้อยู่ใกล้ตัวมากกว่าที่คิด ทั้งยังช่วยให้พวกเขาพร้อมรับมือ และสามารถส่งต่อความรู้นี้ไปยังคนในครอบครัวได้ ไม่ว่าจะเป็นลูกหลานหรือคนใกล้ชิด เพราะภัยออนไลน์ไม่ได้เกิดกับเราเพียงคนเดียว แต่ส่งผลถึงสังคมโดยรวม สิ่งที่ต้องเตือนตัวเองอยู่เสมอคือ หากได้รับโทรศัพท์หรือข้อความจากคนแปลกหน้า ให้รีบตัดบทและไม่โต้ตอบ อย่าเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวใดๆ อาทิ รหัสหลังบัตรประชาชน เลขบัญชีธนาคาร รหัส OTP ฯลฯ เพื่อปิดโอกาสไม่ให้มิจฉาชีพเข้าถึงตัวเราได้ง่าย การมีสติ และปุ่ม “เอ๊ะ” ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้ทุกคนรู้เท่าทันและป้องกันตนเองจากภัยยุคดิจิทัลได้” น.ส.ณิญาดา กล่าว
ด้าน พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ รองผู้บังคับการ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) กล่าวว่า จากข้อมูลของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ระหว่างวันที่ 1 ม.ค.26 มี.ค. 2568 มีคดีออนไลน์เกิดขึ้นถึง 75,728 เรื่อง หรือเฉลี่ยวันละ 874 คดี สร้างความเสียหายรวมมากกว่า 6,000 ล้านบาท สะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการสร้างภูมิคุ้มกันทางดิจิทัลให้กับสังคมไทย
“การรู้เท่าทันมิจฉาชีพและการมีข้อมูลสายด่วน 1441 เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะเมื่อถูกหลอกแล้ว ประชาชนจะสามารถแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที การจัดกิจกรรมในวันนี้ได้มีการมอบโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ เพื่อให้แกนนำหรืออาสาสมัครในชุมชนร่วมกันเฝ้าระวังภัยออนไลน์และส่งต่อความรู้แก่คนรอบข้าง เพื่อป้องกันภัยแฝงที่มากับการใช้งานโซเชียลมีเดียในชีวิตประจำวัน สถานการณ์ปัจจุบันที่น่ากังวล นอกจากการที่ผู้สูงอายุถูกหลอกลวงแล้ว คือการที่เด็กและเยาวชนถูกล่อลวงให้ถ่ายภาพเปลือยหรือส่งข้อมูลส่วนตัวผ่านโซเชียลมีเดีย ที่ร่องรอยดิจิทัล (digital footprint) เหล่านี้อาจก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงและตามหลอกหลอนเด็กไปตลอดชีวิต การร่วมกันเฝ้าระวังและหนุนเสริมให้คนในสังคมทุกช่วงวัยมีความรอบรู้เท่าทันด้านเทคโนโลยี จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะป้องกันตัวเองจากภัยทางออนไลน์ได้” พ.ต.อ.เนติ กล่าว
Advertisement