11 มิ.ย. 68 ที่กระทรวงสาธารณสุขกกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) พร้อมด้วย กลุ่มกองทัพธรรมและนักเคลื่อนไหวทางการเมืองเช่น นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำ คปท. , นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานคณะหลอมรวมประชาชน , นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตสส. พรรคประชาธิปัติย์ นำมวลชนเดินทางมาที่กระทรวงสาธารณสุขโดยรวมตัวกันที่หน้าอาคารสำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข ก่อนเดินเท้ามาที่แพทยสภาเพื่อให้กำลังใจแพทยสภาก่อนที่ในวันพรุ่งนี้(12 มิ.ย.) แพทยสภาจะมีการประชุมโดยมีวาระสำคัญคือการพิจารณากรณี รมว.สาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ ใช้สิทธิยับยั้ง (วีโต้) มติแพทยสภาที่สั่งลงโทษแพทย์ 3 คน ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ
นายพิชิต ได้กล่าวปราศรัยพร้อมแถลงการณ์ถึงนายกแพทยสภาและกรรมการแพทยสภา ขอสนับสนุนให้ยืนยันมติแพทยสภา กรณีนายทักษิณ ชินวัตร พักรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาล (รพ.) ตำรวจ ที่ได้มีมติลงโทษแพทย์จำนวน 3 ท่าน ในกรณีที่มีความเกี่ยวข้องกับการรักษาตัวนอกเรือนจำของนายทักษิณ ชินวัตร อันเนื่องมาจากการให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับอาการป่วย
กรณีการรักษาตัวนอกเรือนจำของ อดีตผู้ต้องขังชาย ทักษิณ ชินวัตร ตลอด 180 วัน ที่ผ่านมา สร้างประเด็นความขัดแย้งในสังคมถึงมาตรฐานการควบคุมและบังคับโทษผู้ต้องขังของกรมราชทัณฑ์ และทำลายกระบวนการยุติธรรมที่เป็นเสาหลักของประเทศไทยที่จะบังคับให้บุคคลย่อมเสมอภาคกันในบทบัญญัติของกฎหมาย ซึ่งยึดถือเสาหลักของระบบนิติรัฐ สร้างนิติธรรมให้เกิดขึ้นในประเทศให้ได้
การบังคับโทษการที่ร่วมกันทำข้อมูลที่ไม่ตรงตามอาการป่วยจริงของเจ้าหน้าที่วงการแพทย์ เป็นการทำลายความเชื่อมั่นในจรรยาบรรณทางการแพทย์ ที่ต้องมีจรรยาบรรณเป็นองค์ประกอบสำคัญในการรักษาชีวิตคน การผิดจรรยาบรรณของแพทย์บางคนไม่ใช่แค่ทำผิดเฉพาะบุคคลเท่านั้น
ในกรณีนี้ส่งผลกระทบในวงกว้างถึงขบวนการที่ร่วมมือกันอย่างเป็นระบบในการทำลายความถูกต้องของประเทศไปด้วย เนื่องจากผู้ต้องขังในขณะนั้นต้องคดีทุจริตคอร์รัปชัน อันเป็นคดีที่ทำลายประเทศไทย และเคยหลบหนีคดีมาแล้วกว่า 17 ปี
ทั้งเมื่อกลับมารับโทษแล้วยังถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ ว่าสำนึกผิด ยอมรับผิด นำมาสู่พระเมตตาในการอภัยลดโทษให้เหลือจำคุกเด็ดขาด 1 ปี แต่กลับมีคณะบุคคลได้ร่วมกันไม่นำตัวผู้ต้องขังบังคับโทษให้อยู่ในเรือนจำ นำมาสู่การสวบสวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการสิทธิมนุยชนแห่งชาติ (กสม.) การยื่นร้องทุกข์กล่าวโทษของประชาชนไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตห่งชาติ (ป.ป.ช.) จนนำมาสู่การมีมติรับเรื่องไว้พิจารณาและดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงผู้เกี่ยวข้อง 12 คน และการยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในการบริหารโทษไม่เป็นไปตามคำพิพากษาของศาล
มติแพทยสภาเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 ที่สั่งลงโทษแพทย์ที่เกี่ยวข้อง 3 ท่านจึงเป็นเหมือนมติที่เปิดความจริง รักษาความถูกต้องของประเทศ บ่งบอกถึงต้นเหตุแห่งเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างดี เนื่องจากประชาชนทั้งประเทศมีความสงสัยว่า นายทักษิณ ชินวัตร ป่วยวิกฤตจริงหรือไม่ และป่วยวิกฤตจริงตลอด 180 วันที่อยู่โรงพยาบาลตำรวจหรือไม่ และป่วยวิกฤตจริงจนนำมาสู่การพักโทษเป็นกรณีพิเศษหรือไม่
จึงขอส่งกำลัง แรงสนับสนุนจากประชาชนผู้รักความยุติธรรม รักความเป็นธรรม ให้คณะกรรมการแพทยสภา ได้ผดุงรักษากระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย และได้ผดุงรักษาจรรยาบรรณของแพทย์ ไม่ให้เพียงแพทย์ไม่กี่คนมาทำลายเกียรติภูมิของแพทย์ทั้งประเทศ ด้วยการยืนยันมติแพทยสภาเดิมในมติเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 ในการประชุมของกรรมการแพทยสภาในวันที่ 12 มิถุนายน 2568 นี้ ด้วยเสียงมติของกรรมการแพทยสภาให้เป็นเอกฉันท์อย่างมากที่สุด
ถึงแม้ฝ่ายการเมืองที่นำโดยนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะพยายามเปลี่ยนความจริงและเข้ามาแทรกแซงในการจะเข้าประชุมกรรมการแพทยสภาด้วยในวันที่ 12 มิถุนายน 2568 นี้ ด้วยก็ตาม
มติของคณะกรรมการแพทยสภาที่จะมีในวันที่ 12 มิถุนายน 2568 ไม่ใช่แค่การผดุงความถูกต้อง แต่จะเป็นการรักษาประเทศไทยให้อยู่ในหลักนิติรัฐนิติธรรม ไปด้วยเช่นกัน
ขณะเดียวกันนายพิชิตยังมองว่าการที่นายสมศักดิ์เทพสุทินรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะเข้าร่วม ประชุมในวันพรุ่งนี้ด้วยนั้น เป็นสิ่งที่ไม่สมควรเพราะจะเป็นการกดดันการทำงานของแพทยสภา
ขณะที่ นพ.วันชาติ ศุภจัตุรัส ผู้จัดการสำนักงานเลขาธิการแพทยสภา มารับหนังสือพร้อมกล่าวว่า ในนามแพทยสภาแห่งประเทศไทยขอขอบคุณที่มาให้กำลังใจ และขอยืนยันว่าคณะกรรมการบริหารและคณะกรรมการชุดใหญ่ของแพทยสภาซึ่งประกอบไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิถึง 70 คน พร้อมแล้วที่จะทำหน้าที่และ ดำเนินการให้เป็นไปตามครรลองของกฎหมาย ซึ่งในวิชาชีพแพทย์ได้มีการบัญญัติไว้ว่าการกระทำสิ่งใดที่เป็นเรื่องใหญ่เช่นการลงโทษหรือการออกบัญญัติ จะต้องผ่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเพื่อนำเรื่องไปสู่คณะรัฐมนตรีให้ทราบเป็นหลักฐาน ซึ่งมติแพทยสภาได้สรุปไปแล้วเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคมที่ผ่านมา และแพทยสภาได้ดำเนินการรายงานตามขั้นตอน
ดังนั้นขอให้เชื่อมั่นในการทำงานของแพทยสภา ที่จะยึดมั่นในคุณธรรมจริยธรรมของแพทยสภาที่จะต้องดูแลแพทย์ทั่วประเทศ ซึ่งถ้าแพทย์ผู้ใดทำไม่ถูกต้องออกนอกลู่นอกทางแพทยสภาก็มีหน้าที่จะต้องตักเตือนทำโทษ ส่วนผลจะออกมาเป็นอย่างไรขอให้ติดตามหลังการประชุมในพรุ่งนี้ (12 มิ.ย. )
Advertisement