เมื่อเวลา 08.00 น.วันที่ 24 พฤษภาคม 2568 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่บ้านโกทาหมู่ 25 ตำบลศิลา อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น สำรวจสถานการณ์การเก็บเกี่ยวข้าวนาปรังของเกษตรกรในพื้นที่ ซึ่งต่างเร่งมือจ้างรถเกี่ยวข้าวนำผลผลิตออกจากนาให้ทัน ก่อนฝนตกหลังกรมอุตุนิยมวิทยาภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนประกาศเตือนฝนตกหนักหลายวันต่อเนื่องช่วงสุดสัปดาห์นี้
ขณะที่ชาวนาต่างสะท้อนปัญหาเดียวกันว่า แม้ผลผลิตปีนี้จะพอได้แต่ราคาข้าวเปลือกกลับตกต่ำมาก โดยราคาขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 6 บาทเท่านั้น ต่ำกว่าราคาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่วางขายทั่วไปซองละ 7 บาททำให้กลายเป็นประเด็นสะท้อนวิกฤตความเหลื่อมล้ำที่ชาวนารู้สึกว่า“ข้าวไทยถูกกว่ามาม่า”
นายพงค์พิศชัย คุณโกทา อายุ 50 ปี เกษตรกรชาวบ้านโกทา เปิดเผยว่า ปีนี้ขายข้าวได้เพียงกิโลกรัมละ 6 บาท จากเดิมที่ปีที่แล้วเปิดตลาดได้ถึง 8-10 บาท แม้ต้นทุนค่าปุ๋ยจะลดลงเล็กน้อย แต่ต้นทุนการผลิตอื่นๆเช่นค่าน้ำมันค่าขนส่งค่าจ้างรถเกี่ยวยังสูงขึ้นต่อเนื่อง
“ถ้าเปรียบเทียบให้เห็นภาพขายข้าวเปลือกได้แค่กิโลละ 6 บาท แต่มาม่าซองละ 7 บาทขายข้าว 1 กิโลยังซื้อบะหมี่ไม่ได้ด้วยซ้ำ ทำแล้วมันรู้สึกหมดแรงจะให้เลิกก็ไม่ได้ เพราะมันคืออาชีพแต่ก็อยากวิงวอนรัฐบาลให้ช่วยดันราคาข้าวขึ้นยืนพื้นที่กิโลละ 10 บาท ถึงจะพออยู่ได้” นายพงค์พิศชัยกล่าว
ด้านนางอัมราสิงห์พิมพ์อายุ67ปีเกษตรกรในพื้นที่เดียวกันระบุว่าราคาข้าวเปลือกที่แห้งสนิทขายได้เพียงกิโลกรัมละ6บาทส่วนข้าวที่ยังมีความชื้นอยู่ถูกหั่นเหลือแค่ 5 บาท ขณะที่ต้นทุนการผลิตสูงทั้งค่าปุ๋ยค่ายาและราคาพันธุ์ข้าวที่ปีนี้พุ่งถึงกระสอบละ 900 บาท
“ปีนี้ได้เงินจากการขายข้าวประมาณ 30,000 บาท จากนา 6 ไร่ ได้ข้าวประมาณ 5 ตันเงินนี้ยังไม่พอสำหรับทำนาปีต้องหามาเพิ่มอีก อยากให้รัฐบาลรีบจ่ายเงินช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาทที่เคยประกาศไว้แล้ว ก็ขอให้ช่วยผลักดันราคาข้าวให้สูงขึ้นอย่างน้อยกิโลละ 8–9 บาทก็ยังดี”
ทั้งนี้เกษตรกรในพื้นที่เรียกร้องให้ภาครัฐเร่งแก้ไขปัญหาราคาข้าวตกต่ำอย่างจริงจังไม่เพียงแค่ช่วยเหลือเฉพาะหน้าแต่ควรมีมาตรการระยะยาวเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าวให้เหมาะสมกับต้นทุนการผลิตที่แท้จริงเพื่อให้“ข้าวไทยไม่ถูกกว่ามาม่า”และอาชีพชาวนายังดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคง
Advertisement