
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนตอกย้ำจุดยืนทางการเมืองของพรรคอย่างหนักแน่น จากการที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคฯ ได้ประกาศในเวทีดีเบตไทยรัฐว่าจะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคกล้าธรรมนั้น ว่า เรื่องนี้ถือเป็นจุดยืนทางการเมืองที่ไม่ใช่เป็นจุดยืนเฉพาะของหัวหน้า หรือของพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น แต่เกิดจากการรับฟังเสียงจากพี่น้องประชาชนในแคมเปญ ประเทศไทยไม่ทน ซึ่งเสียงจากประชาชนก็บอกว่าไม่สามารถที่จะทนการเมืองสีเทาการเมืองทุจริตคอร์รัปชันได้ และเพื่อให้เกิดความมั่นใจและโปร่งใส นายอภิสิทธิ์จึงได้เสนอในการประชุมกรรมการบริหารพรรควันนี้ว่าให้นำเรื่องนี้ผูกพันเป็น “มติพรรค” ซึ่งในทางข้อบังคับถือเป็นพันธสัญญาที่มีผลต่อการตัดสินใจทางการเมืองจากวันนี้ไปจนถึงหลังเลือกตั้ง
“เราจะไม่ทำตัวให้เหมือนในอดีตที่หัวหน้าประกาศอย่างหนึ่งแต่กรรมการบริหารมีมติอีกอย่าง วันนี้เราชัดเจนและผูกพันด้วยมติพรรค และไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร ท่านหัวหน้ายืนยันจะไม่ออกจากตำแหน่ง แต่จะอยู่ทำงานการเมืองเพื่อประชาชนจนครบวาระ” นายสาทิตย์ กล่าว พร้อมกับตั้งข้อสังเกตถึงท่าทีของพรรคการเมืองอื่นในเวทีดีเบตที่มักพูดคลุมเครือหรืออ้างข้อกฎหมายเพื่อเลี่ยงการแสดงจุดยืน พร้อมชี้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ต้องการล้างภาพการเมืองแบบ “ดีลลับสลับขั้ว” ที่ทำให้ประชาชนหมดหวัง
พร้อมกันนี้นายสาทิตย์ ยังได้แสดงความแปลกใจในการดีเบตครั้งแรกว่า ในห้วงเวลาที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ประกาศจุดยืนเรื่องของการไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคกล้าธรรมและได้แสดงเหตุผลนั้น เหตุใดพรรคประชาชนกลับบอกว่าเรื่องนี้พูดไม่ได้ เพราะกลัวจะผิดกฎหมาย แต่ก่อนหน้านั้นพรรคประชาชนได้ประกาศว่าจะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคภูมิใจไทย ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเหตุใดเรื่องนี้ประกาศได้ เหตุใดจึงมีสองมาตรฐาน
ทั้งนี้สื่อมวลชนได้ถามว่า ตอนนี้กระแสของแต่ละพรรคการเมืองก็ดูเหมือนจะมีการจับล่วงหน้าอยู่แล้ว นายสาทิตย์ ตอบว่า ทำการเมืองอย่าดูถูกประชาชน ประชาชนต้องการจุดยืนทางการเมืองของแต่ละพรรคที่ชัดเจน ไม่มีใครสามารถคิดแทนประชาชนไปก่อนว่าใครจะชนะ ผมเชื่อว่าประชาชนอยากเห็นจุดยืนทางการเมืองอย่างที่พรรคประชาธิปัตย์ประกาศมากกว่า
“การที่ไปบอกก่อนล่วงหน้าว่าพรรคนั้นต้องจับมือกับพรรคนี้ มันก็เป็นวิธีคิดทางการเมืองที่ไม่มีจุดยืนอยู่ในนั้นเลย อย่าไปดูถูกประชาชนเลย เมื่อประกาศจุดยืนไปแล้ว เราพร้อมให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินในวันที่ 8 ก.พ. นี้” นายสาทิตย์ กล่าว พร้อมกับได้เชิญชวนประชาชนติดตามการดีเบตในทุกเวที เพราะการดีเบตคือการแสดงจุดยืนทางการเมือง และเวทีที่ 1 กับเวทีสุดท้ายต้องพูดให้เหมือนกัน เพื่อดูว่าใครมีความสม่ำเสมอในจุดยืน และใครที่ "หนีดีเบต" หรือไม่กล้าสบตากับประชาชนผ่านหน้าจอโทรทัศน์
สำหรับในเรื่องมาตรา 112 นั้น นายสาทิตย์ได้ย้ำว่า พรรคประชาธิปัตย์เห็นว่า กฎหมายยังคงมีความจำเป็นเพื่อคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งประเด็นสำคัญไม่อยู่ที่ตัวบทกฎหมาย แต่อยู่ที่ “การบังคับใช้” ที่ต้องมีความชัดเจนและโปร่งใส
Advertisement