
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งกัมพูชา ได้ออกแถลงการณ์ ระบุว่า "การโจมตีอย่างไม่เลือกหน้าของประเทศไทยต่อกัมพูชา คืออาชญากรรมแห่งการรุกราน อาชญากรรมสงคราม อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง"
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งกัมพูชา ขอประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการโจมตีอย่างต่อเนื่องของฝ่ายไทย โดยใช้อาวุธหนัก เครื่องบินขับไล่ F-16 และ T-50TH รถถัง การใช้สารพิษ และระเบิดพวง มายังพื้นที่ภูมิศาสตร์ที่มีพลเรือนอาศัยอยู่ในจังหวัดบันเตียเมียนเจย โพธิสัตว์ อุดรมีชัย พระตะบอง พระวิหาร และเกาะกง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อมูล ณ วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2568 มีพลเรือนเสียชีวิตจำนวน 217 ราย และบาดเจ็บจำนวน 837 ราย ผู้อพยพเพิ่มขึ้นถึง 60,950 ราย และโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือนจำนวนมากถูกทำลาย รวมถึงบ้านเรือนของประชาชน ปราสาทโบราณ อาคารพาณิชย์ โรงแรม/ที่พัก สถานีน้ำมัน คลังสินค้า โรงสีข้าว โรงพยาบาล สถานศึกษา ศูนย์สุขภาพ อาราม วัด โรงอาหาร ตลาด ถนน รถยนต์ และมอเตอร์ไซค์
การกระทำทางทหารและไร้มนุษยธรรมนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชาเท่านั้น แต่ยังเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของประชาชนกัมพูชาอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะสิทธิในการมีชีวิตและความปลอดภัยส่วนบุคคลของพลเรือน ตลอดจนสิทธิในทรัพย์สินซึ่งได้รับการคุ้มครองอย่างเคร่งครัด โดยกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ยิ่งไปกว่านั้น การยิงถล่มพลเรือนและทรัพย์สินของพลเรือน ถือเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างชัดเจน โดยเฉพาะหลักการพื้นฐานของอนุสัญญาเจนีวา ค.ศ. 1949 และพิธีสารเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสั่งห้ามอย่างเด็ดขาดต่อการโจมตีพลเรือน และต้องรับรองความปลอดภัยของประชาชนในทุกสถานการณ์
การใช้กำลังทหารข้ามพรมแดนและการโจมตีต่ออธิปไตยของอีกรัฐหนึ่งโดยไม่มีเหตุผลอันควรเพื่อการป้องกันตนเองตามกฎหมายระหว่างประเทศ คือ อาชญากรรมแห่งการรุกราน (Crime of Aggression) การโจมตีอย่างกว้างขวางและเป็นระบบต่อพลเรือนและทรัพย์สินของพลเรือน ตลอดจนการทำลายมรดกทางวัฒนธรรม คือ อาชญากรรมสงคราม (War Crimes) และเป็น อาชญากรรม ต่อมนุษยชาติ (Crimes Against Humanity) การกระทำที่ไม่สามารถยอมรับได้เหล่านี้ จะต้องมีการรับผิดชอบตามกฎหมายระหว่างประเทศ
ค.ส.ม.ก. จะยื่นคำร้องเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาชญากรรมของรัฐบาลและกองทัพไทยไปยังข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ณ กรุงเจนีวา และภาคีที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เพื่อประณาม คัดค้าน และดำเนินมาตรการทุกวิถีทางอย่างเร่งด่วนและเด็ดขาด พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีการรับผิดชอบต่อหน้ากฎหมาย คำร้องเหล่านี้เป็นเอกสารอ้างอิงที่สำคัญสำหรับการอภิปรายในกลไกสิทธิมนุษยชนของสภาสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ และกลไกตามสนธิสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงของฝ่ายไทยต่อประเทศกัมพูชา
ควรระลึกด้วยว่า กองทัพไทยได้เปิดฉากโจมตีหลายต่อหลายครั้งต่อกัมพูชา โดยใช้อาวุธหนักรวมถึงเครื่องบินขับไล่ F-16 และ T-50TH รุกล้ำเข้ามาในดินแดนอธิปไตยของกัมพูชา แสดงให้เห็นว่าเป็นความตั้งใจรุกรานอย่างชัดเจน ไม่ใช่เพียงปัญหาความตึงเครียดตามแนวชายแดน และเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะข้อตกลงหยุดยิงและแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยสันติภาพระหว่างกัมพูชาและไทย ที่ได้ลงนาม ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ต่อหน้าประธานาธิบดีสหรัฐฯ Donald J. Trump และนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย Anwar Ibrahim ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเร็วๆ นี้ ท่าน Donald J. Trump ได้ยืนยันอย่างชัดเจนว่า: "ประเทศไทยเป็นฝ่ายเริ่มรุกรานกัมพูชาก่อน" และกัมพูชาเป็นผู้เคราะห์ร้ายจากการรุกรานของไทย และมีสิทธิ์อันเต็มที่ในการใช้สิทธิป้องกันตนเองตามกฎบัตรสหประชาชาติ
ในแง่นี้ ค.ส.ม.ก. ขอเรียกร้องอย่างเร่งด่วนต่อประชาคมระหว่างประเทศ องค์การสหประชาชาติ องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและในภูมิภาค ตลอดจนภาคีที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ให้ใช้กลไกและมาตรการต่างๆ เพื่อหยุดยั้งประเทศไทยจากการรุกราน การใช้ความรุนแรงทางการทหาร และการโจมตีพลเรือนในทันที ตลอดจนประกันให้มีการรับผิดชอบต่อผู้ที่กระทำการละเมิดเหล่านี้
ค.ส.ม.ก. ขอเน้นย้ำว่า สันติภาพ ความมั่นคง และการเคารพสิทธิมนุษยชน ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ภายใต้ทางเลือกของการใช้กำลังอาวุธและความรุนแรง ดังนั้นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศใดๆ จะต้องถูกประณามอย่างรุนแรงที่สุด และแก้ไขด้วยความยุติธรรม เพื่อปกป้องระเบียบกฎหมายในภูมิภาคและในโลก
ค.ส.ม.ก. จะติดตาม บันทึก และรายงานอย่างเต็มรูปแบบเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนเหล่านี้ และยืนหยัดเคียงข้างประชาชนกัมพูชาทุกคนที่ได้รับเคราะห์ร้ายจากอาชญากรรมทั้งสองของฝ่ายไทย
Advertisement