
คำว่าตำบลกระสุนตก คงไม่ไกลเกินจริงเพราะตอนนี้ถนนของข้อกล่าวหาเรื่องการซื้อตำแหน่งทุกสาย พุ่งตรงไปที่ “พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เรามาดูว่าก่อนถึงวันนี้ “พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ” หรือที่เรียกชื่อเล่นว่า “ผบ.ต่าย” มีเส้นทางและความเป็นมาอย่างไร
“พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ” เกิดวันที่ 8 ธันวาคม 2508 จบชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนเบญจมราชูทิศ ราชบุรี จบปริญญาตรีจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่น 41 และนักเรียนเตรียมทหาร รุ่น 25 เพื่อนร่วมรุ่นของท่านก็ดัง ๆ ทั้งนั้นนะครับ เช่น พล.ต.ท. ภาณุรัตน์ หลักบุญ ที่ปัจจุบันเป็นเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด, พล.ต.อ. กรไชย คล้ายคลึง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ , พล.ต.ท. อัคราเดช พิมลศรี อดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ชีวิตการทำงาน “ผบ.ต่าย” ไต่เต้าเติบโตเรื่อยมา ทั้งเรื่องงานบริหารและคดี โดยงานบริหารก็มีเช่น การริเริ่มโครงการพัฒนาระบบรับแจ้งเอกสารหายออนไลน์ การจัดการปัญหาหนี้สินข้าราชการตำรวจ และการบริหารงานสำนักงานตำรวจแห่งชาติในช่วงสถานการณ์โควิด
เมื่อดำรงตำแหน่งผู้ช่วย ผบ.ตร. ก็รับงานทั้งการปราบปรามและสืบสวนสอบสวน และเป็นรองผู้อำนวยการศูนย์พิเศษ ตร. 5 ศูนย์ ได้แก่ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ, ศูนย์ปราบปรามการลักลอบตัดไม้ทำลายป่า ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, ศูนย์ปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง, ศูนย์บริหารงานป้องกันปราบปราม และศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน อีกทั้งยังเป็นหัวหน้าคณะทำงานพัฒนาระบบแจ้งความออนไลน์เว็บไซต์ thaipoliceonline.com
ส่วนงานการสอบสวน ขณะที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการภาค 8 ได้ร่วมลงพื้นที่กับ พล.ต.อ. สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข อดีต ผบ.ตร. เพื่อคลี่คลายคดีฆ่าแหม่มสาวจังหวัดภูเก็ต เมื่อปี 2564 และสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ภายใน 48 ชั่วโมง
นอกจากนี้ยังเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์กราดยิงที่ห้างสรรพสินค้าย่านปทุมวัน แต่ถ้าจะให้น้ำหนักแล้ว “ผบ.ต่าย” จะเน้นไปทางงานบริหารมากกว่า ซึ่งเส้นทางการเติบโตและผลงานที่ผ่านมาทำให้หลายคนมองว่า แม้ท่านจะมีความสามารถแต่ก็คงยากที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะตอนที่มีการจะแต่งตั้ง ผบ.ตร. คนที่ 14 ในขณะนั้น มีแคนดิเดต 4 คนประกอบด้วย พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. ซึ่งมีอาวุโส ลำดับที่ 1 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. อาวุโสลำดับ 2 พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ขณะนั้น อาวุโสลำดับที่ 3 และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. อาวุโสในลำดับ 4
แต่ในความเป็นจริงนาทีนั้นใคร ๆ ก็รู้กันว่าเป็นการขับเคี่ยวของ 2 คนคือ “บิ๊กโจ๊ก” กับ “บิ๊กต่อ” โดย “บิ๊กรอย” ก็ขอลอยตัวไม่รับตำแหน่ง โดยอ้างเรื่องอายุราชการที่กำลังจะสิ้นสุด หากเป็นก็เป็นได้เพียง 1 ปี
ศึกระหว่าง “บิ๊กโจ๊ก” กับ “บิ๊กต่อ” หนักหน่วงมากขึ้นเรื่อย จนมีการกล่าวหา “บิ๊กโจ๊ก” ในข้อหาหนัก ๆ สุดท้าย “บิ๊กต่อ” ก็ได้รับตำแหน่ง ผบ.ตร. ไปในที่สุด
แต่เรื่องไม่จบเพราะ “บิ๊กโจ๊ก” เองก็ร้องเรียนให้มีการตรวจสอบ “บิ๊กต่อ” และกลายเป็นความขัดแย้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จน “นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นต้องลงมาหย่าศึก และมีคำสั่งให้ทั้งสองคน มาช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี
และมีคำสั่งมอบหมายให้ “พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ” ทำหน้าที่รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เวลาผ่านไปประมาณ 3 เดือน คำสั่งช่วยราชการจึงสิ้นสุดลงและให้ “พล.ต.อ.ต่อศักดิ์” กลับไปรับตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2567 แต่นั่นก็เท่ากับว่า เวลาของ “บิ๊กต่อ” ในตำแหน่งนี้เหลือน้อยเต็มทน เพราะที่สุดวันที่ 30 กันยายน 2567 เขาก็ต้องเกษียณอายุราชการไป นาทีนั้นเหลือคนที่เหมาะสมจะเป็นแคนดิเดต ผบ.ตร. คนที่ 15 อยู่ 3 คน คือ พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง จเรตำรวจ อาวุโสลำดับ 2 และ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. อาวุโสลำดับ 3
แต่ทั้งสองคนก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่า ตำแหน่งนีน่าจะตกเป็นของ “บิ๊กต่าย” ที่ทั้งเคยเป็นรักษาราชการ ผบ.ตร. และยังเป็นผู้อาวุโสอันดับหนึ่งอีกด้วย เอาเข้าจริงไม่มีใครคาดคิดด้วยซ้ำว่า “บิ๊กต่าย” จะได้เป็น ผบ. ตร. เพราะสองคนที่ขวางอยู่ข้างหน้าก่อนนั้นเหมือนกำแพงที่ยิ่งใหญ่ แม้จะให้ “บิ๊กต่อ” เป็นก่อน “บิ๊กโจ๊ก” ก็น่าจะอยู่ได้ปีเดียว และหาก “บิ๊กโจ๊ก” ได้ขึ้นก็จะนั่งยาวจน “บิ๊กต่าย” เกษียณ แต่ก็เหมือนที่หลาย ๆ คนกล่าวไว้คือ แข่งเรือแข่งพายแข่งได้ แต่แข่งบุญแข่งวาสนานั้นแข่งยาก
ตลอดการเป็น ผบ.ตร. ของ “พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ” ก็เรียกว่าราบรื่น ไม่มีอะไรเป็นเรื่องราวใหญ่โต จนมาถึงวันที่ “บิ๊กโจ๊ก” กลับมาจับมือกับ “อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์” แฉเรื่องราวภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยเฉพาะปัญหาใหญ่สองปัญหา เรื่องหนึ่งคือเรื่องตำรวจรับส่วนแก๊งเว็บพนันออนไลน์ ที่พาดพิงไปถึง “บิ๊กต่อ” ซึ่งมีการกล่าวหา “บิ๊กต่าย” ว่าไม่ดำเนินการใด ๆ ทั้ง ๆ ที่มีเรื่องร้องเรียนเข้าสู่ระบบนานแล้ว
และอีกเรื่องคือการ “ซื้อขายตำแหน่ง” ที่แม้ ผบ.ตร. จะอยากลอยตัวแต่ก็ทำยาก เพราะมีข้อกล่าวหาที่ทำท่าจะมาถึงตัว อีกทั้งหลักฐานที่ปรากฏก็มากขึ้นเรื่อย ๆ ลำพังคำพูดที่บอกว่า “ใครทำก็โง่สุด ๆ” ก็อาจจะไม่สามารถปกป้องตัวเองได้
นอกจากนี้ยังมีข้อสงสัยเรื่อง การตั้งแถวของตำรวจเพื่อโต้ว่าตัวเองไม่ใช่องค์กรอาชญากรรม ตามข้อกล่าวหาของ “บิ๊กโจ๊ก” ก็ถูกมองว่ามีไฟเขียวจาก “บิ๊ก” ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
แม้ในวงการจะชื่นชม แต่สังคมภายนอกกลับมองไปอีกทาง เส้นทางที่ขี่วาสนามาแรงแซงโค้งของ “พล.ต.อ.กิตติรัฐ” ที่เคยเป็นบุญหล่นทับ นาทีนี้อาจกลายเป็นวิบากกรรม เพราะต่อให้เคลียร์เรื่องทั้งหมดพ้นตัวไปได้ แต่ในฐานะเบอร์หนึ่งขององค์กรแห่งนี้ จะปัดความรับผิดชอบเรื่องไม่เหมาะสมที่เกิดขึ้นก็คงไม่ได้ กว่าจะถึงวันเกษียณปีหน้า ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับ ผบ.ตร. คนที่ 15 คนนี้อีก
Advertisement