
วันที่ 20 พ.ย. 68 รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ให้สัมภาษณ์วิเคราะห์กรณีที่นาย อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เปิดรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีครบทั้ง 3 ราย ได้แก่ นาย อนุทิน ชาญวีรกูล นาย เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส รองนายกฯ และรมว.คลัง และนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ โดยมองว่าเป็น “การเดินเกมเร็ว” เพื่อประกาศความพร้อมเลือกตั้ง ส่งสัญญาณชัดไปยังพรรคการเมืองที่พยายามกดดันให้ยุบสภาว่า หากยุบจริง ภูมิใจไทยคือหนึ่งในพรรคที่พร้อมที่สุดทันที ทั้งในแง่โครงสร้างพรรค ทีมบุคลากร และผลงานที่อยู่ในมือ
รศ.ดร.ยุทธพร ระบุว่า การดัน 2 รัฐมนตรีเศรษฐกิจที่ถูกมองว่าเป็นเทคโนแครตแถวหน้าอย่างนายเอกนิติและนางศุภจี ซึ่งมีผลงานชัดเจน เช่น นโยบายคนละครึ่ง และการเปิดตลาดสินค้าไทยในหลายประเทศ คือวิธีสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนว่า ภท. มี “คนทำงานจริง” อยู่แถวหน้า และพร้อมสานต่อนโยบายทางเศรษฐกิจได้ทันทีหากประชาชนให้ความไว้วางใจในการเลือกตั้งครั้งต่อไป รายชื่อทั้ง 3 คนสะท้อนภาพลักษณ์ที่พรรคต้องการนำเสนอคือ “พรรคแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบไม่ซับซ้อน แต่ได้ผลจริง” ผ่านนโยบายอย่างคนละครึ่งพลัส มาตรการช่วยลูกหนี้รายย่อย และการฟื้นกำลังซื้อ ซึ่งเข้าถึงประชาชนวงกว้าง และเป็นจุดขายที่แตกต่างจากพรรคอื่น
การเปิดตัว 2 แคนดิเดตใหม่ยังถูกมองว่าเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการขยายฐานเสียง จากเดิมที่ ภท. แข็งแรงในฐานรากหญ้า ฐานบ้านใหญ่ และล่าสุดเพิ่งได้เสียงจากกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่พอใจบทบาทของนายอนุทินในการแก้ปัญหาไทย–กัมพูชา มาวันนี้ ภท. ต้องการรุกฐานเสียงใหม่ในเมือง ได้แก่ ชนชั้นกลาง คนทำงานภาคเอกชน ผู้ประกอบการ เอสเอ็มอี พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ และคนรุ่นใหม่ที่สนใจเสถียรภาพเศรษฐกิจ โดยนายเอกนิติจะดึงคะแนนจาก Urban Middle Class ซึ่งชอบนโยบายที่จับต้องได้ โปร่งใส และเชื่อมโยงกับเสถียรภาพเศรษฐกิจ ขณะที่นางศุภจีมีจุดขายโดดเด่นในกลุ่มผู้ประกอบการ จากบทบาทการเปิดตลาดสินค้าไทย การเจรจาการค้าต่างประเทศ และการผลักดันเศรษฐกิจฐานราก ทำให้เข้าถึงเสียงของเอสเอ็มอีและแม่ค้าออนไลน์ได้ดี ส่วนตัวนายอนุทินยังรักษาฐานเสียงหลักของพรรค ทั้งรากหญ้า ชาวบ้าน และกลุ่มอนุรักษ์นิยม ด้วยภาพลักษณ์การทำงานเชิงพื้นที่ ลงพื้นที่ถี่ทั่วประเทศ และผลงานด้านความมั่นคงล่าสุดที่ได้รับคะแนนนิยมกว้างขวาง
รศ.ดร.ยุทธพร วิเคราะห์ว่า การเปิดตัวแคนดิเดตที่ล้วนเป็น “คนนอกการเมืองดั้งเดิม” แต่เป็นเทคโนแครตโปรไฟล์ดี โดยเฉพาะนายเอกนิติซึ่งถูกมองว่าอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของคนละครึ่ง และนางศุภจีที่ประสบความสำเร็จในการผลักดันสินค้าส่งออกไปหลายประเทศ ช่วยตอกย้ำภาพลักษณ์ว่า “เป็นทีมทำงานจริง” ที่มีผลงานเชิงประจักษ์ ไม่ใช่เพียงภาพลักษณ์ทางการเมือง และเมื่อทั้งสองถูกเสนอชื่อร่วมกับนายอนุทิน จึงยิ่งชัดว่า ภูมิใจไทยกำลังขาย “ทีมเดียวกับที่ทำงานอยู่ตอนนี้” ให้ประชาชนพิจารณา หากเลือกภูมิใจไทย ก็เท่ากับเปิดทางให้ 2 รัฐมนตรีเศรษฐกิจสำคัญได้สานต่องานเดิมทันที ไม่ต้องเริ่มใหม่
นักวิชาการยังชี้ว่า เมื่อดูจากชุดนโยบายเศรษฐกิจที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทินขับเคลื่อนต่อเนื่อง 4 เดือน ทั้งคนละครึ่งพลัส มาตรการช่วยลูกหนี้เงินแสน มาตรการฟื้นกำลังซื้อ และชุดนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัลต่างๆ จะพบว่า ภท. เน้นนโยบาย “ไม่ซับซ้อน แต่ต้องถึงมือประชาชนจริง” ซึ่งเป็นแนวทางที่ได้คะแนนนิยมสูง และสอดคล้องกับภาพลักษณ์ที่พรรคพยายามวางให้แตกต่างจากพรรคการเมืองอื่น
ท้ายที่สุด รศ.ดร.ยุทธพร สรุปว่า การเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ ทั้ง 3 รายครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการประกาศความพร้อมเลือกตั้งเท่านั้น หากยังเป็น “สัญญาณบอกทิศทางใหม่ของพรรค” ว่าภูมิใจไทยไม่ได้มองตัวเองเป็นพรรคอันดับ 2 หรือ 3 อีกต่อไป แต่กำลังส่งสัญญาณชัดว่า พร้อมท้าชิงตำแหน่งพรรคอันดับ 1 บนเวทีการเมืองไทยในการเลือกตั้งครั้งหน้าอย่างเต็มตัว
Advertisement