
วันที่ 19 พ.ย. ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวถึงสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา ว่า สำหรับการลงพื้นที่ของผู้สังเกตการณ์อาเซียน หรือ AOT ตั้งแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน 68 ที่ผ่านมาที่คณะ AOT ได้ลงไปที่ ห้วยตามาเรีย อ.กันทรลักษ์ จ. ศรีสะเกษ และบ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ซึ่งยังคงปฏิบัติงานและลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อรับฟังข้อเท็จจริงจากเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ และจากประชาชนที่ได้รับผลกระทบ สะท้อนความจริงใจและท่าทีถึงความโปร่งใสของฝ่ายไทย โดยเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 68 ที่ผ่านมาคณะ AOT ลงพื้นที่ช่องอานม้า
และสัตตะโสม เพื่อตรวจสอบกรณี ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดและตรวจพบระเบิดใหม่ในพื้นที่ ซึ่งในวันเดียวกันนั้นยังลงพื้นที่ต. เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ. ศรีสะเกษ เพื่อตรวจสอบในการพบทุ่นระเบิดใหม่ที่มีการหยอดกาว เป็นการขัดขวางการถอดสลักทุ่นระเบิด ซึ่งสะท้อนกันเป็นปฎิปักษ์ของกัมพูชาอย่างชัดเจน และวันที่ 18 พฤศจิกายน 68 คณะ AOT ได้ลงพื้นที่ปราสาทคณา อ. กาบเชิง จ.สุรินทร์ เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ทุ่นระเบิดและการละเมิดข้อตกลงต่างๆของฝ่ายกัมพูชา
ส่วนการเผยแพร่ข้อมูลเท็จและข้อมูลบิดเบือนต่อของกัมพูชา พบว่ากัมพูชายังคงใช้สงครามข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่อง โดยเผยแพร่ข้อมูลเท็จและข้อมูลบิดเบือนอย่างเป็นระบบ เช่น การกล่าวหาว่าไทยกำลังเตรียมการโจมตีพื้นที่ทมอดา และ O’Phluk Domrey ในวันที่ 18 พฤศจิกายน 68 ซึ่งกองทัพเรือได้มีการออกชี้แจงว่าไม่ใช่ข้อเท็จจริงและไม่มีเหตุการณ์ปะทะใดๆ เกิดขึ้นทั้งสิ้น โดยฝ่ายกัมพูชายังกล่าวหาเจ้าหน้าที่ไทยทำร้ายร่างกายและล่วงละเมิดต่อผู้ต้องหาหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นสตรีชาวกัมพูชาที่จ.จันทบุรี
ซึ่งกรณีนี้ไทยขอประนามการกล่าวหาดังกล่าวของกัมพูชา ซึ่งไร้หลักฐานรองรับและมีจุดประสงค์เพื่อทำลายภาพลักษณ์ของไทยในสายตาของต่างประเทศ ซึ่งในกรณีนี้จากการตรวจสอบของทุกหน่วยงานยืนยันว่าไม่พบเหตุการณ์ตามที่ถูกกล่าวหา และไม่มีหน่วยทหารไทยใดที่มีพฤติกรรมตามที่สื่อและหน่วยงานของรัฐกัมพูชากล่าวอ้าง การปฎิบัติงานต่างๆ ของเจ้าหน้าที่ไทยเป็นไปตามกฏหมายไทย หลักสิทธิมนุษยชน และหลักสากลต่างๆ เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ว่าจะอยู่ระหว่างถูกดำเนินคดี หรือทำงานผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ไทยจะให้พักพิงและดูแลความปลอดภัย จัดอาหารให้ครบทุกมื้อ ก่อนดำเนินการตามขั้นตอนส่งกลับประเทศอย่างเป็นระบบ และมีหน่วยงานต่างๆ ร่วมภารกิจอย่างมีเอกภาพและโปร่งใส
ที่สำคัญคือการดำเนินการของไทยมีแนวปฏิบัติที่มีมาตรฐานอย่างชัดเจน ซึ่งจะมีการบริหารจัดการกับผู้หลบหนีเข้าเมืองเป็นกลุ่ม ไม่มีการให้อยู่เพียงลำพัง ดังนั้นจะมีสักขีพยานตลอดการดูแลผู้หลบหนีเข้าเมืองเหล่านี้ ตนขอย้ำว่าประเทศไทยเคารพและยึดมั่นในกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและหลักมนุษยธรรม ไทยเป็นภาคีตราสาร ด้านสิทธิมนุษยชนที่สำคัญ 8 ฉบับ
จากทั้งหมด 9 ฉบับและให้การช่วยเหลือทางมนุษยธรรมจากผู้หนีภัย การสู้รบของประเทศเพื่อนบ้านมาอย่างยาวนานและได้รับการไว้วางใจจากประชชาคมระหว่างประเทศ ได้รับเลือกตั้งเป็นคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติถึง 2 วาระ ในปี คศ. 2010-2013 และ 2025-2527 การปฏิบัติตามพันธะกรณีด้านสิทธิมนุษยชนของไทย นี้ได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดจากหลายกลไกจากภาครัฐและคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติซึ่งคณะกรรมการสิทธืของไทยเป็นองค์กรอิสระอย่างแท้จริงและองค์กรภาคประชาสังคมที่เป็นอิสระและเข้มแข็ง
“ ฝ่ายไทยจึงให้ค่ากับข้อกล่าวหาดังกล่าว ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูล และเป็นเจตนาร้าย ซึ่งในสถานการณ์ปัจจุบันที่สงครามข่าวสารปะทุขึ้นอีกครั้ง ขอความร่วมมือจากประชาชนให้ความระมัดระวังการบริโภคข่าวสารโดยตรวจสอบข้อมูลได้จากแหล่งข่าวทางการ ขณะเดียวกันขอความร่วมมือสื่อมวลชนตรวจสอบข้อมูลอย่างถี่ถ้วนก่อนมีการเสนอรายงานข่าว เพื่อหลีกเลี่ยงการเผยแพร่คำปลอบและสร้างความเข้าใจและสร้างความเสียหายโดยไม่ได้ตั้งใจ”
นายนิกรเดช กล่าวว่า ส่วนการประสานงานระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา จากการหารือทางโทรศัพท์ของนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 68 ล่าสุดเมื่อวานนี้ 18 พฤศจิกายน 68 นายกรัฐมนตรีมีหนังสืออีกหนึ่งฉบับจึงประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เพื่อย้ำถึงการละเมิด Joint Declaration และขอให้กัมพูชาไม่ขัดขวางปฏิบัติการเก็บระเบิดของไทยและแสดงความความจริงใจที่จะปฏิบัติตาม Joint Declaration และกลับสู่เส้นทางแห่งสันติภาพร่วมกับไทย
สำหรับท่าทีไทยกับท่าทีของสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชากับการเจรจาไทยสหรัฐยังคงเหมือนเดิมซึ่งเป็น 2 ประเด็นที่ต้องแยกออกจากกัน โดยประเด็นแรกเป็นเรื่องความมั่นคง และอีกประเด็นคือเรื่องการค้าทวิภาคีที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา ที่สำคัญฝ่ายไทยไม่เห็นด้วยกับการผูก 2 เรื่องนี้ไว้ด้วยกันแต่หากฝ่ายสหรัฐฯ จะมีบทบาทที่สร้างสรรค์ในเรื่องนี้เราขอให้สหรัฐอเมริกากดดันไปยังกัมพูชาให้ปฏิบัติตาม Joint Declaration อย่างเคร่งครัด ขอให้มั่นใจว่าหน่วยงานไทยทุกหน่วยงานจะปฏิบัติและดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศไทย
ส่วนความคืบหน้าการเจรจาภาษีและกรณีที่สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (USTR) ขอระงับการเจรจากรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทนระหว่างไทยกับสหรัฐฯ นายนิกรเดช ระบุว่าเคลียร์ที่สุดเท่าที่จะเคลียร์ได้แล้ว ยืนยันว่านายกฯ ได้พูดกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ โดยขอให้ยึดสิ่งที่นายกฯ ได้พูดคุยกับโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นหลัก ขอให้แยกเรื่องดังกล่าวออกจากกัน เราจะเดินหน้าเจรจาการค้าตามปกติ ในชั้นนี้ก็รอให้ฝ่ายสหรัฐฯ ตอบกลับมาอย่างเป็นทางการ คงตอบแทนทางฝั่งเขาไม่ได้ เรามั่นใจว่าสิ่งที่เรายึดถือตอนนี้คือความเข้าใจตามที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ทำได้แจ้งต่อนายกฯ รอให้มีการเจรจานัดถัดไปตามวาระปกติของฝ่ายเจรจา
ทั้งนี้ การคุยกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ เกิดขึ้นก่อนมีหนังสือขอระงับการเจรจาหรือไม่ นายนิกรเดช กล่าวว่า นายกฯ พูดคุยกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ในวันที่ 14 พ.ย.68 ในฐานะที่เป็นผู้สังเกตการณ์ตามถ้อยแถลง ส่วนอะไรจะเกิดขึ้นก่อนกันตนเองไม่แน่ใจ แต่วันที่ 14 พ.ย.68 มีการโทรศัพท์ระหว่างกัน เป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะหนังสือดังกล่าวออกจาก USTR
ในหลักการจะต้องฟังนโยบายจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ดังนั้นหนังสือจึงไม่มีนัยสำคัญ สำหรับประเทศไทยสิ่งสำคัญคือ ผู้นำประเทศ นายกฯ ได้คุยกับนายโดนัลด ทรัมป์ และในการพูดคุยไม่ได้พูดคุยเรื่องภาษีอย่างเดียว เป็นการพูดคุยเรื่องปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเราได้อธิบายท่าทีว่าเรามั่นใจว่าเราเป็นผู้ละเมิดถ้อยแถลง เราคิดว่าสหรัฐฯ อาจจะช่วยกดดันให้กัมพูชาที่เป็นผู้ละเมิดสามารถปฏิบัติตามถ้อยแถลงได้ เราสื่อสารสิ่งสำคัญเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้เราสามารถกลับมาดำเนินการตามถ้อยแถลงได้ สหรัฐฯ ก็จะมีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้
นายกฯ ยังโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้แตะเรื่องภาษี แต่ตอนท้ายมีการพูดเรื่อง เก็บกู้ทุ่นระเบิด หากเราเก็บกู้หมดก็ขอให้ช่วยพิจารณาเรื่องภาษีด้วย ส่วนตัวฯ มองว่านายกฯ พูดชัดเจนว่าเราต้องการอะไร และเราพร้อมดำเนินการหากมีความคืบหน้าในเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิด นายโดนัลด์ ทรัมป์ ก็แสดงความเข้าใจด้วยดี เราจึงยึดถือสิ่งนี้เป็นหลัก
ส่วนกรณีที่สหรัฐฯ ประกาศจะลดภาษี 2% ตามที่นายกฯ ให้สัมภาษณ์นั้น ซึ่งมีการเอาเรื่องความมั่นคงมาโยงกับการเจรจาภาษี นายนิกรเดช ยืนยันว่าเรื่องนี้เราไม่ได้เป็นคนเริ่ม เราไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับการโยงอะไรทั้งนั้น การเจรจาการค้าเป็นเรื่องบวกทั้งสหรัฐฯ และไทย แต่เมื่อมีการพูดขึ้นมาว่าเราละเมิด และหากเราละเมิดก็จะกระทบการเจรจาการค้า เราจึงตอบตามโจทย์ที่มีการโยง แต่เราไม่ต้องการโยง และนายกฯ ยืนยันว่าทั้งสองเรื่องแยกออกจากกัน แต่ถ้าประเทศไหนต้องการโยงเรื่องนี้ มองว่าควรจะกดดัน จะรู้สึกขอบคุณมากกว่าหากจะเล่นบทสร้างสรรค์ กดดันประเทศที่ละเมิด นั่นคือท่าทีของไทย ซึ่งสหรัฐฯไม่ได้รับปาก เพียงแต่บอกว่าจะไปคุยให้
Advertisement