
(11 พ.ย. 2568) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ได้เปิดเผยถึงกรณีชายแดนไทย-กัมพูชา จากเหตุการณ์ทหารไทยเดินลาดตระเวนแล้วเหยียบกับระเบิดของฝั่งกัมพูชาที่วางในพื้นที่ประเทศไทย ว่า การวางทุ่นระเบิดใหม่ในครั้งนี้เป็นเรื่องที่มีความสำคัญ เพราะเป็นการละเมิดอย่างร้ายแรงต่อปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชา ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการรุกล้ำแผ่นดินไทย รุกล้ำอธิปไตยไทย และทำร้ายทั้งประชาชนและทหารไทย แสดงให้เห็นถึงความไม่จริงใจของฝ่ายกัมพูชา
นอกจากนี้ นายปานเทพ ยังย้ำอีกว่า การวางทุ่นระเบิดใหม่เป็นการละเมิดอย่างร้ายแรงต่อข้อ 3 ใน MOU2543 ที่ระบุว่าทั้ง 2 ประเทศจะร่วมมือกันเก็บกู้ทุ่นระเบิด แต่ฝ่ายกัมพูชากลับทำพฤติกรรมตรงข้ามคือการวางระเบิดใหม่ ซึ่งตนมองว่าเป็นโอกาสที่ฝ่ายไทย นอกจากจะยกเลิกปฏิญญาสันติภาพได้แล้ว ยังสามารถยกเลิก MOU2543 โดยฝ่ายเดียวได้อีกด้วย เพราะการจัดทำหลักเขตแดนทางบกเจ้าหน้าที่รัฐต้องปลอดภัย แต่หลังจากนี้หากประเทศไทยยังกลับไปประชุม JBC หรือ การประชุมภายใต้ปฏิญญาสันติภาพเท่ากับเรายอมรับว่ากัมพูชาไม่ได้ละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ซึ่งตนมองว่าหากการกระทำเช่นนี้ยังคงอยู่จะทำให้ในอนาคตทหารไทยจะต้องสูญเสีย ขาที่แปดและขาที่เก้าก็เป็นได้
นอกจากนี้ตนยังมองว่าการประท้วงจะใช้เพียงกระดาษคงไม่พอ เพราะในตอนนี้รัฐบาลได้ประกาศยุติปฏิญญาสันติภาพแล้ว ตนจึงถามกลับว่ามาตรการต่อไปทางรัฐบาลจะทำอย่างไรต่อ ซึ่งตนมองว่าต้องมีมาตรการเสริมในการกดดันกัมพูชามากกว่าที่เป็นอยู่ ส่วนการเปิดด่าน ปล่อยเชลยศึกตอนนี้ตนมองว่าประชาชนคนไทยไม่ยินยอม ซึ่งไทยต้องใช้มาตรการที่เข้มงวดและเข้มแข็งมากกว่าการประชุมด้วยกระดาษ
"หากท่านยังทำอยู่ ครั้งหน้าผมจะบริจาคกระดาษหนึ่งรีม หากเชื่อว่ากระดาษจะแก้ปัญหาได้ไม่พอ ต้องมีมาตรการที่เป็นรูปธรรมมากกว่านี้" นายปานเทพ กล่าว
ส่วนกรณีของ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง อดีตแม่ทัพภาคสองที่ออกมาเปิดเผยถึงกรณีที่มีบุคคลสั่งให้หยุดยิงภายใน 6 ชั่วโมงแรก นายปานเทพ เผยว่า เป็นการกล่าวถึงเหตุการณ์ในอดีต และไม่มีความต้องการที่จะพาดพิงทางการทหารหรือใครก็ตามให้ได้รับผลกระทบท่านมองเห็นเหตุการณ์ปัจจุบันและมองไปในอนาคตคือประเทศต้องมีความสามัคคีมากกว่าจะเห็นความขัดแย้งในตอนนี้
แต่ตนมองว่าในวันที่ พล.ท.บุญสิน พูดนั้น ตนวิเคราะห์ออกมาได้ดังนี้คือ คนที่จะโทรให้หยุดยิงได้ ต้องเป็นผู้ที่มีตำแหน่งและอำนาจสูงกว่าพลโทบุญสิน และต้องเป็นสายตรงไม่ใช่สายข้างที่เป็นองค์กรเหนือกว่า ซึ่งมีทั้งผู้บัญชาการทหารบก กระทรวงกลาโหม และนายกรัฐมนตรี และคนที่โทรต้องเคยมีข่าวปรากฏว่ามีคำพูดหลุดมาว่าเคยพูดคุยโดยตรงกับพลโทบุญสิน ซึ่งคนนี้เคยพูดไว้ตนเชื่อว่าหากไปหาข้อมูลก็จะเจอว่าเป็นใคร นอกจากนี้บุคคลคนนั้น เรียก พล.ท.บุญสิน ว่า "น้อง" ซึ่งต้องคนที่อายุมากกว่าหากดูข้อมูล ตอนนี้ต้องตัดตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกออกไป และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็ออกมาปฏิเสธแล้วว่าไม่ใช่เป็นคนที่สั่งหยุดยิง ตรงกันข้ามเป็นคนสั่งให้ดำเนินการเต็มที่ แล้วตนเชื่อว่าเป็นความจริงเพราะขณะนั้นสภากลาโหมได้มอบอำนาจให้กองทัพดำเนินการเต็มที่
จากเงื่อนไขนี้เชื่อว่า สามารถระบุได้ว่าเป็นใครได้บ้างในขณะนี้ ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น นายปานเทพ บอกว่า พล.ท.บุญสิน เป็นสุภาพบุรุษมากพอ ที่จะไม่พูดถึงบุคคลคนนั้น และเพื่อไม่เป็นการสร้างประเด็นเพื่อให้เกิดความขัดแย้งในสถานการณ์แบบนี้ หรือ พล.ท.บุญสิน ไม่ได้บันทึกการสนทนาเอาไว้ ซึ่งการที่ พล.ท.บุญสิน ออกมาปฏิเสธในภายหลัง ก็เป็นเหตุผลที่เข้าใจได้
ส่วนกรรมาธิการ MOU ที่ นายปานเทพ เข้าไปนั่งนั้น วันที่ 13 พ.ย. นี้ จะวางโครงร่างเพื่อวางรูปแบบของผลการศึกษาว่าพิจารณาเป็นอย่างไร
Advertisement