
วันที่ 5 พ.ย.2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายธนเดช เพ็งสุข สส.กทม. พรรคประชาชน โพสต์หนังสือบันทึกถ้อยคำของนายกสมาคมฯ ที่ระบุว่า มีการจำหน่ายสลากฯ ให้กับบุคคลอื่นที่ไม่ใช่สมาชิกจริง ซึ่งทำมาตั้งแต่นายกสมาคมฯ คนเก่า โดยอ้างอิงจากหลักฐาน เป็นรายงานการสืบสวนของดีเอสไอว่า การที่สมาคมกีฬาคนตาบอดฯ จำหน่ายโควตาสลากกินแบ่งรัฐบาลให้คนอื่นที่ไม่ใช่สมาชิก เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ข้อบังคับของสมาคม
ซึ่งหนังสือบันทึกถ้อยคำ เรื่อง กรณีสมาคมกีฬาคนตาบอดแห่งประเทศไทยจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลให้บุคคลอื่นที่มิใช่สมาชิก ลงวันที่ 16 ก.ย. 68 โดยหนังสือมีทั้งหมด 5 หน้า
สาระสำคัญสรุปได้ดังนี้ นายกสมาคมคนตาบอดฯ คนปัจจุบัน ได้ให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ระบุว่า ตนเองเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกสมาคม เมื่อปี 2564 ก่อนหน้านั้นช่วงปี 2557-2563 นายกสมาคมเป็นอีกท่านหนึ่ง โดยสมาคมได้รับโควตาสลากมาตั้งแต่นายกสมาคมฯคนเก่า ตั้งแต่ปี 2557
เมื่อนายกสมาคมฯ คนใหม่มารับช่วงต่อ ก็ได้รับข้อมูลเดิมมาดำเนินการต่อ ก่อนจะมาทราบภายหลังว่า “ผู้ที่ได้รับโควตาสลากไปจากสมาคมไม่ใช่สมาชิกของสมาคม” แต่สมาคมระบุว่าเป็นสมาชิกผู้ค้า
โดยสมาชิกผู้ค้าทั้งหมดมีประมาณ 157 คน มีรายชื่อเป็นสมาชิกผู้ค้าสลาก แต่ไม่ได้มีชื่อเป็นสมาชิกของสมาคมในประเภทใดเลย (คำถามที่สังคมถามตอนนี้คือ แล้วสมาชิกผู้ค้าที่ว่า คือใคร หรือบริษัทใด)
รายละเอียดในหนังสือบันทึกถ้อยคำ ยังระบุถึงรายละเอียดสัญญาข้อตกลงและวิธีปฏิบัติกับกองสลาก ด้วยว่า สมาคมฯ ต้องใช้เงินสดค้ำประกัน 100% ของราคาสลาก ซึ่งมีจำนวน 2,647 เล่ม หนึ่งเล่มมีสลาก 100 ฉบับ ราคาสลากละ80 รวม 1 เล่มราคา 8,000บาท
เพราะฉะนั้น 2,647 เล่มเป็นเงิน 21,176,000 บาท และด้วยทางสมาคมต้องนำเงิน จำนวนเดียวกัน (21,176,000 บาท) ไปจ่ายเป็นค่าสลากด้วย เพราะฉะนั้นในแต่ละงวด สมาคมต้องใช้เงินสด 42,352,000 บาท
ซึ่งตามสัญญา สมาคมฯ ต้องรับขาดขายคืนไม่ได้ นายกสมาคมฯ คนปัจจุบันจึงอ้างว่า ด้วยเหตุต้องต้องใช้เงินสดต่องวดมากถึง 42 ล้านบาท ทางสมาคมจึงต้องหาคนที่มีความสามารถที่จะขายให้หมดมาช่วยเป็นนายทุน ในการนำเงินสดไปชำระและค้ำประกันให้กับกองสลาก
ในบันทึกถ้อยคำนี้ยังระบุถึงต้นทุนของสลาก โดยนายกสมาคมฯ บอกว่า ต้นทุนใบละ 68 บาท 80 สตางค์ สมาคมขายให้สมาชิก 70 บาท 40 สตางค์ ส่วนต่าง 1 บาท 60 สตางค์ มีรายได้ต่องวดจากส่วนต่าง เป็นเงิน 549,120 บาท
คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงถามว่า เมื่อรู้ว่าไม่ได้ทำสัญญาให้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ นายกสมาคมฯ ทำอย่างไร
นายกสมาคมฯ ตอบว่า ก่อนหน้านี้เข้าใจว่าทำถูกมาโดยตลอด เมื่อดีเอสไอบอกว่าผิด ก็เลยให้สมาชิกผู้ค้าสลากทั้ง 157-158 คน มาสมัครเป็นสมาชิกของสมาคมเสียเลย ภายในวันที่ 26 ก.ย. 68
นายธนเดช ยังโพสต์ข้อความระบุว่า 🎯 “เปลี่ยนชีวิตด้วยกีฬา”
เห็นสโลแกนนี้แล้ว… ก็อดถามไม่ได้ว่า ชีวิตที่เปลี่ยน นี่มันชีวิตใครกันแน่ครับ?
ชีวิตของ “กรรมการสมาคม” ที่โอนเงินหากันเดือนละหลายล้าน หรือชีวิตของ “ผู้พิการ” ที่ควรได้รับโอกาสจากสลากกินแบ่งรัฐบาล ตามวัตถุประสงค์ของโควตา?
วันนี้ผมได้ให้สัมภาษณ์กับพี่น้องสื่อมวลชนหลายสำนัก
ซึ่งตั้งคำถามถึงข้อเท็จจริงในเอกสารของ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ที่ระบุว่า สมาคมกีฬาคนตาบอดแห่งประเทศไทย มีการบริหารจัดการ “สลากกินแบ่งรัฐบาล” ผิดวัตถุประสงค์
🔍 ผลการสืบสวนระบุชัดว่า
สมาคมฯ มีการจำหน่ายสลากให้กับบุคคลอื่นที่ ไม่ใช่สมาชิกของสมาคม ซึ่งถือว่า ผิดระเบียบและไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของสมาคม
ผมขอยืนยันว่า นี่คือเรื่องจริง
และขอเปิดเผย “เอกสารบันทึกการให้ถ้อยคำ” ของผู้บริหารสมาคมประกอบไว้ด้วย
แต่แทนที่สมาคมจะยอมรับความผิด และแก้ไขปัญหาให้ถูกต้อง โดยนำโควต้ากลับมาให้ “นักกีฬาผู้พิการทางสายตา” ที่ควรได้รับอย่างแท้จริง
กลับเลือก “วิธีแก้ปัญหาแบบย้อนแย้ง”
ด้วยการนำบุคคลที่เดิมที DSI ชี้ว่า ไม่ใช่สมาชิกสมาคม และไม่ได้พิการทางสายตา เข้ามา “รับสมัครเป็นสมาชิกใหม่” เพื่อให้การจำหน่ายสลากกลับมาถูกวัตถุประสงค์!
❓นี่หรือครับ… คือ “การแก้ปัญหา”?
วันนี้ผมขอเรียกร้องให้ สมาคมออกมาเปิดเผยข้อเท็จจริงทั้งหมด เกี่ยวกับการบริหารจัดการ “โควต้าสลากกินแบ่งรัฐบาล” รวมถึง เงื่อนไขและหลักเกณฑ์ของผู้ที่จะได้รับสิทธินี้ ต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส
และขอวอนให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เร่งตรวจสอบ ดำเนินการ — กล้าทำ กล้าฟัน ให้เป็นเยี่ยงอย่าง
เพราะเราไม่ควรปล่อยให้ใครมาหากิน บน “ความทุกข์ร้อนของผู้พิการ” อีกต่อไปครับ
#โค้วต้าหวยเทา
#พรรคประชาชน
#ธนเดช
#ลาดพร้าว #บึงกุ่ม
Advertisement