
วันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (รองนายกรัฐมนตรี ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า) และประธานยุทธศาสตร์พรรคกล้าธรรม โพสต์แถลงการณ์อย่างเป็นทางการ คณะทำงานวอร์รูมพรรคกล้าธรรม ว่า จากกรณีการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรและให้สัมภาษณ์ โดยนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ เกี่ยวกับกรณีของ นายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ (เบน สมิธ) โดยมีการพาดพิงเชื่อมโยง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายแก๊งหลอกลวง (สแกมเมอร์) และธุรกิจสีเทาข้ามชาติ พรรครู้สึกเสียใจต่อข้อกล่าวหาอันปราศจากหลักฐานดังกล่าว และขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อตอบโต้ทุกประเด็นอย่างครบถ้วน
โดยนายอนุดิษฐ์ ได้ลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นเดือนกันยายน-ปลายเดือนตุลาคม 2568 ที่เกิดกระแสข่าวจากสื่อต่างประเทศที่กล่าวถึงชื่อ นายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ หรือ “เบน สมิธ” ในบริบทเชื่อมโยงกับขบวนการหลอกลวงออนไลน์และกลุ่มทุนสีเทาข้ามชาติ ต่อมาในการอภิปรายแถลงนโยบายรัฐบาลเรื่องความมั่นคง นายรังสิมันต์ โรม ได้หยิบยกกรณี “เบน สมิธ” ขึ้นมากล่าวอ้างในสภา โดยกล่าวหาว่า เบนสมิธ เคยชักชวนคนไทยลงทุน เชื่อมโยงเครือข่ายทุนจีนสีเทาในกัมพูชา-เมียนมาพัวพันกรณีธนาคาร BIC และพยายามขอสัญชาติไทย ทั้งยังอ้างว่า เบน สมิธ มีความสัมพันธ์รู้จักมักคุ้นกับ ร.อ.ธรรมนัส เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ นายรังสิมันต์ ยังพาดพิงว่า เบน สมิธ เคยถูก ก.ล.ต. กล่าวโทษกรณีบริษัท Tian Tian Ventures และเกี่ยวข้องกับธุรกิจหลอกลงทุนข้ามชาติด้วย ซึ่งล้วนเป็นข้อมูลที่ยังไม่ได้ผ่านการตรวจสอบยืนยันอย่างรอบด้าน
ร.อ.ธรรมนัส รับทราบถึงเนื้อหาการอภิปรายที่พาดพิง ที่ปราศจากหลักฐาน ท่านได้แสดงความไม่พอใจอย่างยิ่งต่อการถูกโยงว่าเกี่ยวข้องกับแก๊งสแกมเมอร์ พร้อมยืนยันว่า ยังไม่ได้มีตรงไหนที่นายรังสิมันต์ สามารถชี้ชัดได้ว่า “ธรรมนัสทำสแกมเมอร์หรือฟอกเงิน” เลย การโยงชื่อท่านเข้ากับเรื่องนี้ถือว่าเกินเลย และไม่มีมูลความจริง จึงเตรียมดำเนินการทางกฎหมายเพื่อปกป้องชื่อเสียงของตนเองจากข้อมูลเท็จที่ถูกเผยแพร่ ต่อมา นายเบน สมิธ ได้ออกแถลงการณ์โต้ตอบเป็นครั้งแรก ยืนยันว่าตนเองถูกใส่ร้ายด้วยข้อมูลเท็จ และจะฟ้องร้องดำเนินคดีจนถึงที่สุด
เดือนตุลาคม 2568 ตัวแทนฝ่ายกฎหมายของ นายเบน สมิธ คือ นายธนดล สุวัณณะฤทธิ์ ได้ยื่นฟ้องร้องดำเนินคดีกับนายรังสิมันต์ โรม ต่อศาลอาญา ในข้อหาหมิ่นประมาทเรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาท โดยศาลนัดไต่สวนมูลฟ้อง 24 พ.ย. 2568 และนัดพิจารณาคดีแพ่ง 15 ธ.ค. 2568 การยื่นฟ้องครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า นายเบน สมิธ เอาจริงในการปกป้องชื่อเสียง และยืนยันความบริสุทธิ์ของตนผ่านกระบวนการยุติธรรม ส่วน ร.อ.ธรรมนัส ในฐานะรัฐมนตรีที่กำกับดูแลงานด้านความมั่นคงของมนุษย์ ได้มุ่งมั่นและสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ปราบปรามเครือข่ายสแกมเมอร์อย่างจริงจัง ควบคู่ไปกับการปกป้องชื่อเสียงของตนเอง และได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ “เร่งปราบปรามแก๊งหลอกลวงออนไลน์ (สแกมเมอร์) อย่างจริงจัง” เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานบูรณาการการทำงาน เพราะรัฐบาลได้ประกาศเรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติแล้ว เป้าหมายคือไม่ให้คนไทยตกเป็นเหยื่อหรือเครื่องมือของขบวนการเหล่านี้อีกต่อไป
นอกจากนี้ ในที่ประชุมดังกล่าวท่านธรรมนัส ยังย้ำด้วยว่าไม่ควรนำประเด็นการเมืองมาแทรกแซงภารกิจการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ เพราะจะบั่นทอนความสำเร็จในการแก้ปัญหา คำกล่าวนี้สะท้อนถึงความตั้งใจของ ส่วนที่ร.อ.ธรรมนัส ไม่ได้ไปชี้แจง กมธ. เพราะติดภารกิจ ไม่ได้เกิดจากความ “กลัว” ใดๆ ทั้งสิ้น หากแต่เป็นการตัดสินใจที่ทำโดยไตร่ตรองบนหลักการและข้อเท็จจริง
พรรคกล้าธรรม ขอตั้งข้อสังเกตว่า ข้อกล่าวหาหลายอย่างถูกนำเสนออย่างผิดบริบทบ้าง ไม่ครบถ้วนบ้าง ซึ่งนำไปสู่ความเข้าใจผิดในสังคม จึงขอชี้แจงตอบโต้ ทีละประเด็น ดังต่อไปนี้
ร.อ.ธรรมนัส ยืนยันไม่มีเอี่ยวธุรกิจผิดกฎหมายหรือแก๊งสแกมเมอร์ใดๆ – พรรคกล้าธรรมขอย้ำอย่างหนักแน่นว่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ไม่เคยมีส่วนร่วม หรือมีผลประโยชน์ใดๆ เกี่ยวข้องกับขบวนการหลอกลวง (สแกมเมอร์) หรือธุรกิจสีเทาผิดกฎหมายทั้งสิ้น การกล่าวอ้างของบางฝ่ายว่า “รู้จัก” หรือ “ใกล้ชิด” กับบุคคลหนึ่ง (เช่น เบนสมิธ) ไม่ได้หมายความว่าจะต้องกระทำผิดร่วมกันหรืออยู่ขบวนการเดียวกัน ความผิดฐานคบคิดใดๆ ต้องพิสูจน์ด้วยพยานหลักฐาน ไม่ใช่การเหมารวมด้วยความเชื่อส่วนตัวในความเป็นจริง ร.อ.ธรรมนัส รู้จักกับนายเบน สมิธ ในฐานะนักธุรกิจต่างชาติคนหนึ่งที่เคยมีบทบาททางธุรกิจในภูมิภาคนี้ ทั้งสองรู้จักผ่านการแนะนำของบุคคลที่สาม และรู้จักกันมาเพียงไม่นาน โดยไม่มีการทำธุรกิจร่วมกันแต่อย่างใด การรู้จักกันของบุคคลทั้งสองไม่มีองค์ประกอบใดบ่งชี้ถึงการกระทำผิดกฎหมาย ดังที่นายธนดล ทนายความของเบน สมิธ ระบุชัดเจนว่า “นายเบนเคยลงทุนธุรกิจกับนักธุรกิจคนอื่น แต่ไม่เคยทำธุรกิจกับ ร.อ.ธรรมนัส” และที่รู้จักกันก็เพียงช่วงหลังๆ นี้เท่านั้น จึงขอปฏิเสธข้อกล่าว
นอกจากนี้ น.อ.อนุดิษฐ์ ยังชี้ว่า นายทอม ไรท์ นักข่าวต่างชาติที่นายรังสิมันต์อ้างอิงข้อมูล ก็ยังออกมายอมรับในบทความของเขาเองภายหลังว่า คนที่ขึ้นเวทีเทียนเทียนใช้ชื่อปลอมและเป็นแค่นักแสดงคนหนึ่ง นี่คือตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าข้อมูลของผู้อภิปรายไม่ครบถ้วนและบิดเบือนความจริง จนก่อให้เกิดความเข้าใจผิดต่อบุคคลบริสุทธิ์ อีกทั้ง สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตรวจสอบ นายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ (เบน สมิธ) แล้ว ไม่พบประวัติว่าเขากระทำผิดหรือฟอกเงินในประเทศไทยแต่อย่างใด
กรณีที่นายรังสิมันต์ กล่าวหาว่าเบน สมิธ พยายามวิ่งเต้นขอสัญชาติไทยเพื่อปักหลักในประเทศ ก็เป็นอีกเรื่องที่ถูกใส่สีตีไข่ให้ดูน่าสงสัยเกินจริง ความจริงคือ นายเบนสมิธได้ยื่นเรื่องขอสัญชาติไทยในชื่อไทยว่า “สาธิต” ตามช่องทางกฎหมายปกติ ซึ่งทางกระทรวงมหาดไทย (ขณะนั้นนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็น รมว.) ไม่ได้อนุมัติคำขอของเขาเนื่องจากเอกสารไม่ครบถ้วน กระบวนการนี้โปร่งใสตรงไปตรงมา มิใช่การให้สัญชาติโดยมิชอบหรือมีใครใช้เส้นสายช่วยเหลือดังที่มีการกล่าวหาเป็นนัยแต่อย่างใด
น.อ.อนุดิษฐ์ ระบุว่า การฟ้องร้องดำเนินคดีเพื่อปกป้องชื่อเสียงพรรคกล้าธรรมสนับสนุนการใช้กระบวนการทางกฎหมาย อย่างถึงที่สุดในการพิสูจน์ความจริงต่อข้อกล่าวหาที่เป็นเท็จ เราขอยืนยันว่า การดำเนินคดีหมิ่นประมาทไม่ใช่ “การฟ้องปิดปาก” แต่เป็นการเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายนำหลักฐานมายืนยันในศาล หากมีข้อเท็จจริงจริงก็จะได้พิสูจน์แต่หากไม่มีข้อเท็จจริงก็จะได้เป็นบรรทัดฐานยับยั้งการเผยแพร่ข้อมูลเท็จต่อไป
กรณีนี้เช่นเดียวกัน ร.อ.ธรรมนัส มีสิทธิ์ทุกประการที่จะดำเนินคดีเพื่อปกป้องเกียรติยศชื่อเสียง หลังถูกพาดพิงด้วยข้อมูลที่บิดเบือนอย่างร้ายแรง แม้ท่านจะยังไม่ทันได้ฟ้องร้องด้วยตนเอง แต่นายเบน สมิธก็ได้มอบหมายทนายความฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย100 ล้านบาทต่อผู้อภิปรายไปแล้ว ซึ่งเรื่องนี้มิใช่การข่มขู่คุกคามเสรีภาพในการตรวจสอบ แต่เป็นการส่งสัญญาณว่าผู้ถูกกล่าวหาก็ต้องปกป้องสิทธิ์ของตนเองเช่นกัน กระบวนการยุติธรรมจะทำให้ทุกฝ่ายได้ตรวจสอบกันบนข้อเท็จจริง ไม่ใช่ปล่อยให้มีการกล่าวหาอย่างเลื่อนลอยผ่านสื่อหรือเวทีสาธารณะ อยู่ฝ่ายเดียว แต่การที่นายรังสิมันต์ออกมาโจมตีว่าเป็น “คดีปิดปาก” นั้น อาจทำให้ประชาชนตั้งคำถามเช่นกันว่าท่านขาดความเชื่อมั่นในพยานหลักฐานของตัวเองหรือไม่
พร้อมย้ำว่า กรณีที่ร.อ.ธรรมนัส และ นางนฤมล ไม่มาชี้แจง กมธ. ไม่ได้เบี้ยว แต่เกิดจากภารกิจทับซ้อน อีกทั้ง ร.อ.ธรรมนัส ต้องการหลีกเลี่ยง ปิงปองทางการเมือง เพราะมองว่าไม่เกิดประโยชน์
อีกทั้งเหตุการณ์นี้ กรณี “นักการเมืองอักษรย่อ ช.” ที่ถูกพาดพิงได้ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงทันที โดยนายชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว สส.สงขลา พรรคกล้าธรรม ซึ่งถูกบางฝ่ายสงสัยว่าอาจพัวพันขบวนการสแกมเมอร์ ได้ยืนยันชัดเจนว่า ตนไม่ใช่นักการเมืองที่ทำสแกมเมอร์ บัญชีต้องสงสัยที่ถูกพูดถึงนั้นเป็นชื่อบัญชีของบิดามารดาตนเอง และไม่ได้เกี่ยวข้องกับธุรกรรมผิดกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น ข้อมูลส่วนนี้ร.อ.ธรรมนัส ก็ได้เรียกนายชนนพัฒฐ์ เข้าชี้แจงเป็นการภายในจนเข้าใจทุกประเด็นแล้ว จากนั้นจึงแนะนำให้เจ้าตัวไปชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนผ่านสื่อ ซึ่งนายชนนพัฒฐ์ ก็ได้ดำเนินการทันที ทำให้สังคมได้รับทราบข้อเท็จจริงโดยทั่วถึงจากเหตุผลข้างต้น
“ขอยืนยันว่าการไม่เข้าร่วมกรรมาธิการฯ ของ ร.อ.ธรรมนัส มิได้เกิดจากความพยายามหลบเลี่ยงการตรวจสอบใดๆ แต่เป็นการตัดสินใจบนหลักการ ท่านพร้อมเสมอที่จะให้ข้อมูลต่อหน่วยงานที่ตรวจสอบอย่างเป็นธรรมและปราศจากอคติ แต่มิปรารถนาให้มีการใช้เวทีรัฐสภาไปในทางที่เป็นเครื่องมือบิดเบือนโจมตีกันทางการเมืองการปกป้องความจริงและจุดยืนของพรรคกล้าธรรมต่อกรณีนี้เมื่อข้อกล่าวหามาก่อนข้อเท็จจริง… แล้วใครจะปกป้องความเป็นธรรม?”
พรรคกล้าธรรม จึงได้จัดตั้ง “วอร์รูม” ขึ้นมาตรวจสอบทุกข้อกล่าวหาที่พาดพิงถึงพรรค ทำการรวบรวมข้อมูลจากทุกฝ่าย ค้นหาความจริงจากหลักฐานที่มีอย่างรอบด้าน พร้อมยืนยันว่าจะยังคงทำงานรับใช้พี่น้องประชาชนด้วยความสุจริต โปร่งใส “กล้าชน กล้าทำ และกล้ายืนหยัดบนหลักการ” ตามอุดมการณ์ของพรรค ส่วนผู้ที่พยายามใช้ “ความเชื่อ” นำหน้า “ความจริง” หรือบิดเบือนข้อมูลเพื่อหวังผลทำลายล้างทางการเมืองนั้น เราเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่จะมองเห็นและแยกแยะได้ในที่สุดแนวนโยบายแก้ไขปัญหาแก๊งสแกมเมอร์อย่างเป็นระบบ
พรรคกล้าธรรม เราขอยืนยันในความบริสุทธิ์และความโปร่งใสของเรา และจะเดินหน้าพิสูจน์ความจริงต่อไปทั้งในเวทีสาธารณะและในชั้นศาล “ความจริงก็คือความจริง” แม้จะมีความพยายามบิดเบือนมากเพียงใด สุดท้ายแล้วข้อเท็จจริงจะต้องปรากฏต่อสายตาประชาชน
พรรคกล้าธรรม ขอขอบคุณประชาชนที่ยังคงมีวิจารณญาณและเชื่อมั่นในความตั้งใจดีของพวกเรา เราจะมุ่งมั่นทำงานเพื่อประชาชนอย่างเต็มกำลัง และยืนหยัดต่อสู้กับทุกขบวนการอาชญากรรมที่บ่อนทำลายสังคมไทย โดยไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคหรือการโจมตีทางการเมืองใดๆ
แถลงการณ์ฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณะโดยคณะทำงานวอร์รูมพรรคกล้าธรรม อันมี น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เป็นผู้รับผิดชอบ ทั้งนี้เพื่อยืนยันหลักการทำงานการเมืองบนความจริงและความสุจริตของพรรค และเพื่อร่วมกันสร้างสังคมไทยที่ปลอดภัยจากแก๊งมิจฉาชีพหลอกลวงออนไลน์อย่างยั่งยืนต่อไป
Advertisement