15 ต.ค. 2568 ที่รัฐสภา ในการประชุมร่วมรัฐสภา ว่าพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาเป็นประธานในที่ประชุม ซึ่งมี 3 พรรคการเมือง เสนอเข้ามา 3 ร่าง โดยเป็นการพิจารณาต่อเนื่องในวันที่สอง บรรยากาศการประชุมเป็นไปด้วยความราบรื่น มี สส.มาประชุมบางตา ขณะที่ สว. มาประชุมกันอย่างพร้อมเพรียงกว่า
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด อภิปรายเป็นคนแรกๆ ว่า ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญไม่น้อยไปกว่าใคร เราไม่เคยขาดรัฐธรรมนูญ แต่เราขาดรัฐธรรมนูญที่ดี ที่สร้างพื้นที่และกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชน ขาดรัฐธรรมนูญที่ยึดโยงกับประชาชน จึงอยากตั้งชื่อเรื่องการอภิปรายของตนในวันนี้ว่า “เพื่อไทยนักสู้ตัวจริง” สู้เพื่อรัฐธรรมนูญของประชาชน สู้เพื่อคืนเกียรติยศศักดิ์ศรีให้กับประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ไม่มีรัฐธรรมนูญใดจะศักดิ์สิทธิ์ได้ ถ้ารัฐธรรมนูญนั้นไม่ได้เขียนด้วยหัวใจของประชาชน เมื่อไหร่ที่เสียงของประชาชนเบา รัฐธรรมนูญก็ไม่ต่างจากกระดาษ ถ้าเสียงของประชาชนดังขึ้นมาเมื่อไหร่ นั่นคือการประกาศอิสรภาพของคนในชาติ ดังนั้นเราไม่ได้แก้รัฐธรรมนูญเพื่อนักการเมืองหรือกลุ่มการเมืองกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่แก้เพื่อพี่น้องประชาชน เอาอำนาจกลับคืนสู่มือเจ้าของที่แท้จริงคือประชาชน
รัฐธรรมนูญไม่ใช่ข้อตกลงของกลุ่มผู้มีอำนาจ แต่เป็นข้อตกลงร่วมกันของคนไทยทั้งประเทศ ดังนั้น รัฐธรรมนูญดีเป็นจุดเริ่มต้นของการเมืองดี การเมืองดีคือประชาธิปไตยดี แล้วหลายอย่างที่ดีจะตามมา
“พูดถึงตรงนี้ นึกถึงเพลงของตูน Bodyslam เรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง แม้จะมีพายุแม้จะมีคลื่นลมแต่เราต้องออกจากฝั่ง เรืออาจจะโคลงไปบ้าง คลื่นลมอาจจะแรง ถ้าเราอยากเห็นท้องทะเลแห่งประชาธิปไตยที่กว้างใหญ่ไพศาล เราต้องออกเดินทาง
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเขียนไว้แก้ยาก พร้อมเปรียบเทียบเหมือนสมาร์ทโฟนรุ่นเก่า อัพ IOS ไม่ได้เพราะมีคนล็อกเครื่องไว้ ดังนั้นสภาแห่งนี้จึงต้องช่วยกันปลดล็อก เพื่อให้มีรัฐธรรมนูญที่ดี ไม่ต้องแก้หรือแก้ให้น้อยที่สุด และยึดโยงกับประชาชน ดังนั้น การแก้รัฐธรรมนูญรอบนี้ต้องชี้ให้ชัดว่า รัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะดีกว่าเดิมอย่างไร ต้องไม่ปล่อยให้เกิดรัฐธรรมนูญกล่องสุ่ม คือรับไปก่อน จน “เจนนี่”ส่งมาให้ค่อยไปแกะ เป็นรัฐธรรมนูญที่เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าข้างในคืออะไร หรือเขียนเช็คเปล่าให้กับคณะผู้ร่าง ดังนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องไม่ใช่แค่ประชามติ แต่ต้องเปิดเวทีเพื่อการศึกษา สนทนา ไม่ใช่แค่การลงคะแนน แต่ต้องเป็นการเรียนรู้ร่วมกัน
พรรคเพื่อไทยจึงเสนอแนวทางที่จับต้องได้จริง เพื่อให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญมีอำนาจเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง โดยโมเดลที่หนึ่งคือจัดตั้งสภาพลเมือง เป็นการใช้หลักประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ โดยมีสมาชิกหลากหลาย ทุกเพศทุกวัย
สอง สร้างคณะผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ข้อมูลถูกต้อง เป็นกลาง และไม่บิดเบือน เพื่อควบคุมกระบวนการให้โปร่งใส ไม่เอนเอียง อย่างไรก็ตาม
ประชามติควรเป็นสนามของความคิด ไม่ใช่สนามของนายทุน เพราะในกระบวนการประชาธิปไตย เสียงทุกเสียงต้องมาน้ำหนักเท่ากัน ไม่ว่ากระเป๋าจะหนักหรือเบา ดังนั้น การแก้รัฐธรรมนูญรอบนี้ไม่ใช่แค่การเขียนใหม่ แต่คือกระบวนการเรียนรู้ใหม่ร่วมกันของคนไทยทั้งประเทศ
Advertisement