วันที่ 6 ต.ค.68 นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีรัฐบาลให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจเรื่อง MOU43-44 ว่าผลสำรวจของนิด้าโพลที่สำรวจเรื่องนี้ได้สะท้อนให้เห็นแล้วว่าประชาชนราว 70% มีความไม่เข้าใจ กับค่อนข้างไม่เข้าใจเป็นเสียงส่วนใหญ่ เกี่ยวกับเนื้อหารายละเอียดของ MOU ฉบับดังกล่าว ตนเชื่อว่าสิ่งที่จะทำให้ประชามติเป็นกระบวนการสะท้อนเจตจำนงของประชาชนจริงๆ คือออกไปใช้สิทธิ์ใช้เสียงโดยมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนั้นอย่างดีเพียงพอระดับหนึ่ง สิ่งที่สำคัญมากกว่าวันเข้าคูหาการลงคะแนนเสียงทำประชามติ คือเรื่องของกระบวนการ เรื่อง MOU เป็นเรื่องที่มีความละเอียด ซับซ้อน ที่ตนไม่เชื่อว่าจะสามารถจัดเวทีสาธารณะให้ความรู้แก่ประชาชนได้อย่างรอบด้าน เพราะมีบางเรื่องขนาดประชุมกันในรัฐสภายังขอประชุมลับ เพราะบางอย่างหากพูดออกไปอาจทำให้ประชาชนเสียเปรียบ แล้วลองนึกภาพว่าในสังคมมีทั้งคนเห็นด้วยและเห็นต่าง ไม่สามารถให้ข้อมูลทั้ง 2 ด้าน ได้อย่างรอบด้าน ตนก็มีข้อห่วงใยว่าการทำประชามติแบบนี้ ผลลัพธ์ที่ได้ จะไม่ใช่ผลที่สะท้อนเจตจำนงที่แท้จริงของประชาชน
ส่วนพรรคประชาชนจะเสนอให้รัฐบาลทบทวนเรื่องนี้หรือไม่นั้น นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เสนอทบทวนมาโดยตลอด ทุกครั้งที่ตนมีโอกาสตอบคำถามสื่อมวลชนก็จะบอกอย่างนี้ตลอด และตนเชื่อว่านายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีเอง นอกจากทราบจากตนก็น่าจะทราบจากนักวิชาการและเสียงสะท้อนจากสังคม ตอนนี้ก็เห็นว่ามีโพลบางส่วนที่ทำในโลกออนไลน์ ก็จะเห็นว่าประชาชนบางส่วนอยากมีความเข้าใจในเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น หรือบางส่วนก็ไม่เห็นด้วยที่จะเอาเรื่องนี้มาทำประชามติ จริงๆควรเป็นหน้าที่ฝ่ายบริหาร รัฐบาลไม่ควรโยนการตัดสินใจนี้ให้เป็นภาระของประชาชน จริงๆเป็นหน้าที่ฝ่ายบริหารโดยตรง ที่ประชาชนมอบความไว้วางใจไปในการตัดสินใจเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ ในเรื่องที่มีความละเอียดซับซ้อน เรื่องความมั่นคงแบบนี้ รัฐบาลจะทำอย่างไรก็แสเงความรับผิดรับชอบ ตัดสินและทำเองได้เลย
ส่วนคิดว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมหรือไม่นั้น นายณัฐพงษ์ กล่าวว่าการเสนอมาในช่วงจังหวะนี้ทั้งที่การเลือกตั้งครั้งหน้า มีบัตรอย่างน้อย 2 ใบ คือ สส.เขต และสส.บัญชีรายชื่อ อีกทั้งเรื่องการจัดทำประชามติที่มี 2 คำถาม ดังนั้นการเสนอมาอีกบัตรเลือกตั้งในเรื่องประชามติ MOU ในส่วนหนึ่งก็มีข้อห่วงใยว่าอาจเพิ่มภาระประชาชนในการออกเสียง ที่ต้องทำความเข้าใจเรื่องละเอียดซับซ้อนหลายเรื่อง จึงต้องให้สังคมช่วยกันวิเคราะห์ว่าเหมาะหรือไม่เหมาะอย่างไร และเป็นข้อเสนอที่มีวัตถุประสงค์ทางการเมืองอย่างไรหรือไม่ ในการโยนข้อเสนอนี้ออกมา ทั้งที่นายอนุทินก็รู้ดีว่าอีก 4 เดือนต้องยุบสภา มุ่งหน้าสู่การเลือกตั้ง
เมื่อถามว่า เมื่อทุกอย่างต้องเข้าสู่การทำประชามติ จะกลายเป็นภาระของพรรคหรือไม่เพราะคนคาดหวังว่าพรรคประชาชนจะต้องเป็นคนรณรงค์ทุกเรื่อง นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ก่อนที่ ครม. จะมีมติไปถึงการทำประชามติ เราคงส่งเสียงเรียกร้องว่าเราไม่เห็นด้วยกับกระบวนการการจัดทำประชามติ ที่ประชาชนแสดงความเห็นหรือรับรู้ข้อมูลได้ทั้ง 2 ด้าน ดังนั้นเราคงไม่เห็นด้วยกับหลักการที่จะนำเรื่องนี้มาทำประชามติ แต่การบอกแบบนี้ต้องบอกว่า พรรคประชาชนเคารพในการให้เสียงประชาชนเป็นใหญ่ ถ้ามีการจัดทำประชามติผลออกมาอย่างไรต้องเป็นไปตามนั้น แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือกระบวนการ หากส่งเสียงคัดค้านแล้วรัฐบาลเดินหน้าต่อ ก็เป็นหน้าที่พรรคประชาชน และทุกพรรคการเมืองที่ต้องรณรงค์ให้มากที่ สุด ต้องหาวิธีอธิบายเรื่องละเอียดซับซ้อนให้ดีที่สุด
ส่วนมองว่าการทำประชามติเป็นการเดินหน้าให้สิทธิ์ประชาชน แต่ในประเด็นสำคัญ ต้องมาฟังกันหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องรายละเอียดทางเทคนิค พร้อมยกคำพูดว่า “ถ้าเราบอกว่าจะสร้งจรวดไปดวงจันทร์ เราคงไม่สามารถสร้างได้โดยการยกมือโหวตทุกคน สุดท้ายต้องอาศัยนักวิทยาศาสตร์มาคิดวิเคราะห์เรื่องหลักการและเหตุผล“ เช่นเดียวกับเรื่องนี้ มีรายละเอียดเชิงเทคนิคเยอะ สิ่งที่จะมำให้แก้ปัญหาไทย-กัมพูชาได้สำเร็จอาจไม่ใช่การให้ประชาชนตัดสินใจ โดยไม่มีความรู้ทางเทคนิคที่สมบูรณ์เท่านักการทูต หน่วยงานความมั่นคง หรือฝ่ายบริหาร ตนคาดหวังว่ารัฐบาลควรจะออกแบบกระบวนการดีๆ และเลือกใช้กระบวนการที่ถูกต้องในการตัดสินใจเรื่องละเอียดอ่อน
Advertisement