วันที่ 2 ต.ค. 68 รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและต่างประเทศ โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กในหัวข้อ "วัดใจนายกฯ-วัดใจแม่ทัพนายกอง หลังไทยชักธงรุก-ยื่นคำขาด-เปิดประตูทางออกให้กัมพูชาสู่สันติภาพ" ซึ่งมีรายละเอียดว่า
1. ไทยได้ประกาศชักธงรุก ยื่นเงื่อนไขให้สงบศึก และเปิดประตูทางออกให้กัมพูชาไปสู่สันติภาพในเวทีสหประชาชาติอย่างชัดเจน และไม่เคยทำมาก่อนในวันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา
2.วันที่ 2 ตุลาคม นายกรัฐมนตรีก็จะเริ่มดำเนินการตามแนวทางที่ไทยได้ประกาศไว้ โดยผ่านการประชุมของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช./เดิมคือสภาสงคราม) เป็นครั้งแรกของรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งจะเป็นการตัดสินว่าไทยมีเอกภาพพอที่จะชนะสงครามในครั้งนี้หรือไม่
3.เงื่อนไขของไทยที่ได้ยื่นต่อกัมพูชาไว้ คือ: 1) ถอนกำลังและอาวุธหนักออกไปจากพื้นที่เผชิญหน้า 2) กู้ทุ่นระเบิด 3) ปราบปรามแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติ และ 4) หยุดคุกคามอธิปไตยของไทยและกลับมาพูดคุยแก้ปัญหากันในกรอบทวิภาคีที่มีอยู่ ซึ่งไม่ได้รับการตอบสนองจากกัมพูชานับตั้งแต่มีการเจรจาหยุดยิงกันในวันที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา
ดังนั้น มติของ สมช.ในการประชุมครั้งนี้ จะทำให้กัมพูชาเห็นว่าสิ่งที่ไทยได้ประกาศไว้ที่ UNGA นั้น เป็นเพียงคำพูดที่ไม่มีน้ำหนัก หรือเป็นดำเนินการที่เชิงรุกจะส่งผลต่อกัมพูชาอย่างชัดเจน
4.ถ้าจะบีบให้กัมพูชาตอบสนองต่อเงื่อนไขของไทยดังกล่าวนั้น ในการประชุมสมช.ในครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานสภา สมช.ควรจะต้อง 1) สั่งให้ทุกหน่วยทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เตรียมความพร้อมเต็มที่ 100% หากจะต้องมีการใช้กำลัง 2) เพิ่มเติมสมาชิกหรือกรรมการของสภาสงครามนี้ให้ครบถ้วนชั่วคราว ตามองค์ประกอบของสงครามผสมพันทางสมัยใหม่ คือ ควรมีกระทรวงพาณิชย์ที้เกี่ยวข้องกับการค้ากับกัมพูชา กระทรวงแรงงานที่เกี่ยวข้องกับชาวกัมพูชานับแสนราย ผู้บัญชาการเหล่าทัพ โดยเฉพาะผู้บัญชาการกองทัพบก ซึ่งปกติไม่ได้เป็นสมาชิกสภาความมั่นคง (มีแต่ผู้บัญชาการกองทัพไทยที่เป็นสมาชิก) หรือบุคคลอื่น ๆ ตามความจำเป็น เป็นต้น โดยจะต้องกำหนดแนวทางปฏิบัติของทุกส่วนทุกคนให้สอดคล้องรองรับซึ่งกันและกัน ไม่ให้มีการย้อนแย้งหรือทอนกำลังกันอีกเหมือนที่ผ่านมา และ 3) พิจารณาข้อเสนอที่สำคัญอย่างเร่งด่วนและรอบคอบ โดยมีกำหนดเวลาและแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน เช่น การสร้างรั้ว การผลักดันชาวกัมพูชาที่รุกล้ำดินแดนออกนอกประเทศ และการร่วมมือกับนานาชาติปิดล้อมกัมพูชา รวมทั้งพิจารณาอนุมัติรับหรือไม่รับข้อเสนอใหม่ของสหรัฐฯ ที่เสนอในการประชุมสี่ฝ่ายที่ UN เมื่อวันที่ 26 กันยายน ที่ต้องการให้ข้อตกลงหยุดยิงเดิมที่ตนเองได้ผลักดันตั้งแต่แรก เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยจะให้มีกลไกบังคับไทยและกัมพูชาเพิ่มเติม เป็นต้น
5.สรุป การประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติของของไทยในวันที่ 2 ตุลาคมนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกของรัฐบาลใหม่นั้น นอกจากจะทำให้ทราบว่าไทยจะชนะหรือจะได้เปรียบในสงครามกับกัมพูชาหรือไม่อย่างไรแล้ว ก็จะทำให้ผู้นำกัมพูชา ซึ่งรับรู้และเฝ้าดูการต่อสู้ของไทยมาอย่างใกล้ชิด ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าจะยินยอมตามเงื่อนไขของไทยหรือไม่
ที่สำคัญ การประชุม สมช.ในครั้งนี้ จะเป็นการพิสูจน์ฝีมือ และบ่งบอกถึงสภาวะของผู้นำไทยในยามที่บ้านเมืองต้องเผชิญกับสงคราม ประชาชนบาดเจ็บล้มตาย เศรษฐกิจเสียหาย ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกระทบกระเทือนได้เป็นอย่างดี
Advertisement