เมื่อเวลา 09.44 น. วันที่ 30 ก.ย. 68 ที่รัฐสภา ในการประชุมรัฐสภาครั้งที่ 1 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ ในวาระเรื่องด่วน คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเป็นวันที่สอง นาย อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ได้ลุกขึ้นชี้แจง หลังถูกพาดพิงในหลายประเด็นว่า
ตนขอขอบคุณ น.ส.จิราพร สินธุไพร อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่เราเคยอยู่ในรัฐบาลเดียวกันมาก่อน ตนขอชี้แจงทีละประเด็น เพราะท่านพยายามที่จะใช้วาทกรรม ซึ่งตนชื่นชมท่านมาโดยตลอดเวลาชี้แจงต่อรัฐสภา และท่านอภิปราย เมื่อพูดความจริงจะน่าเชื่อถือมาก แต่เมื่อพูดเท็จเห็นได้อย่างชัดเจนว่าท่านขาดความมั่นใจ ท่านเริ่มมาด้วยคำว่าพยายาม ทำให้เห็นว่าตัวของตนนั้นกับผู้นำกัมพูชาน่าจะรู้อะไรกัน เพราะผู้นำกัมพูชาเคยกล่าวไว้ว่าจะเปลี่ยนรัฐบาลใน 3 เดือน ซึ่งจริงๆ ตนไม่รู้จักผู้นำกัมพูชาในทางส่วนตัวเลยสักคนเดียว
ตนเพิ่งเคยพบกับสมเด็จ ฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชาครั้งแรกอย่างเป็นทางการ เนื่องจากตนได้ติดตาม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ไปเยือนกัมพูชา เมื่อเดือน เม.ย. 2568 และตนได้ปฎิบัติหน้าที่ในฐานะที่เป็นรัฐมนตรี ซึ่งเป็นองค์ประกอบของคณะนายกรัฐมนตรี ไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆ ที่เป็นส่วนตัว ทั้งนี้ท่านบอกว่าคงมีการตกลงอะไรกันมาก่อนเบื้องหลังหรือไม่ ขอยืนยันว่าไม่มี เต็มที่ที่ตนมีที่นั่นคือเพื่อนที่รู้จักกัน ซึ่งไม่ได้เป็นผู้ที่มีอำนาจอะไรในรัฐบาลแห่งนั้น “ไม่มีลุง ไม่มีอังเคิล มีแต่เฟรนด์ มีแต่เพื่อน และไม่เคยได้พูดถึงเรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน หรือการเสนอแนะอะไรที่เป็นการใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัว
“ผมยังรู้สึกตกใจ เมื่อตอนกลับจากการติดตาม น.ส.แพทองธาร เพื่อนๆ ของผมที่รู้จักกันได้โทรศัพท์มาบอกว่า ผมรู้หรือไม่ที่เขาไม่ให้เข้าไปในที่ประชุมหลายๆ ที่ เพราะมีการไปแจ้งกับผู้นำเขาว่า ไม่ต้องคุยอะไรกับผมมาก เพราะจะมีการปลดออกจากมท.1 อยู่แล้ว ซึ่งเป็นข้อมูลที่ผมได้รับทราบมา แต่ผมไม่ได้ว่าอะไร เพราะข้อมูลที่ผมจะเชื่อมากที่สุดก็ต้องเป็นข้อมูลที่ได้รับแจ้งจากนายกรัฐมนตรีของผมในเวลานั้น คือ น.ส.แพทองธาร แต่ในที่สุดในวันหนึ่งผมก็ได้รับแจ้ง เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 68 ว่าพรรคเพื่อไทย ต้องการกระทรวงมหาดไทยคืน และขอให้ผมไปเป็น รมว.สาธารณสุข”
“ซึ่งผมได้กราบเรียนนายกรัฐมนตรีไปว่า ถ้าแบบนี้เปรียบเสมือนข้อเสนอที่ท่านต้องการให้ผมปฏิเสธ ขอให้พูดตรงๆ ว่าให้ผมออกจากรัฐบาลดีกว่า แต่ท่านนายกฯ รักษามารยาทมาก เพราะบอกว่าไม่ใช่ อยากให้อยู่ แต่ไม่ให้อยู่มหาดไทย ต้องไปอยู่กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งผมได้ถามว่าเหตุใดต้องให้ไปอยู่ที่กระทรวงสาธารณสุข ผมทำอะไรผิด และผมคิดว่าเป็นรัฐมนตรีคนเดียวในรัฐบาลของท่านนายกฯ ที่ยืนอยู่เคียงข้างนายกรัฐมนตรี ในทุกๆ ขณะ ไม่ว่าจะเป็นวันดีหรือวันร้ายของท่าน ปกป้อง ให้ข้อเท็จจริง เมื่อนายกรัฐมนตรีถูกกล่าวหา ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็ทราบดี แต่ท่านบอกว่าใกล้เลือกตั้งแล้ว เพื่อไทยต้องได้กระทรวงมหาดไทย ซึ่งตนก็ถามไปว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้เชื่อว่าการได้กำกับกระทรวงมหาดไทย จะชนะการเลือกตั้ง”
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า คุณพ่อของตนเคยเป็น รมว.มหาดไทย เมื่อ 10 กว่าปี และเป็นประมาณ 2 ปีกว่า แต่ในการเลือกตั้งก็แพ้พรรคเพื่อไทยอย่างราบคาบ ในปี 2554 ดังนั้นเหตุใดจึงคิดเช่นนี้ แต่ก็ไม่ได้มีคำตอบให้ ซึ่งคำตอบที่ได้รับคือจะเอากระทรวงมหาดไทยคืน ทั้งนี้ตนเชื่อว่าตัวของ น.ส.แพทองธาร ไม่ได้พูดจากความต้องการภายในใจของท่านเอง ต้องมีคนบอกให้ท่านพูด เพราะในที่สุดเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้มีการยืนยันว่าไพ่ใบสุดท้ายคือ “คุณไปอยู่กระทรวงสาธารณสุข”
ระหว่างที่นายกรัฐมนตรีชี้แจง น.ส.จิราพร ได้ทำการประท้วงนายกรัฐมนตรีว่าได้เล่าซีนดรามา ระหว่างตัวของนายกฯ กับบุคคลที่ไม่ได้อยู่ในที่ประชุมรัฐสภา ซึ่งไม่ได้มีโอกาสที่จะมาชี้แจง
โดยนายอนุทิน กล่าวสวนว่า ตนไม่ได้ดรามา แต่เล่าถึงความจริง ท่านต่างหากที่ไม่ได้พูดความจริง และอย่ามาบอกว่าเป็นดรามา เพราะท่านไม่ได้อยู่ตรงนั้น เพราะตนอยู่ตรงนั้นจะให้เอาความจริงมายืนยันกันตรงนี้ก็ได้ และท่านไม่ได้อยู่ตรงนั้นจะมาบอกดรามาได้อย่างไร
จากนั้นนายกฯ ได้ชี้แจงต่อว่า สุดท้ายตนก็ได้รับการยืนยันจากเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ซึ่งมาหาตนถึงที่กระทรวง แล้วบอกว่าต้องเป็นไพ่ใบสุดท้าย ซึ่งวันนั้นตนได้ฝากให้ไปกราบเรียนนายกรัฐมนตรี พรรคภูมิใจไทยขอถอนตัว และหลังจากวันนั้นมีความบังเอิญเหมาะเจาะ เพราะมีเรื่องคลิปเสียงอังเคิลออกมาพอดี ยิ่งทำให้การมีความมั่นใจในการตัดสินใจถอนตัวของพรรคภูมิใจไทย เพราะเป็นเรื่องของบ้านเมือง และพรรคภูมิใจไทยเห็นว่ามีความเสียหาย รัฐบาลขาดความชอบธรรมที่จะบริหารประเทศ และเป็นเรื่องที่ไม่ควรบังเกิดขึ้น ในขณะที่เป็นรัฐบาลกำลังบริหารประเทศอยู่ ซึ่งยืนยันว่าเป็นเหตุผลที่เราถอนตัวออกมาไม่มีเหตุผลอื่น หากถามว่ามีเหตุการณ์ใดที่เป็นเรื่องพิสดารผิดปกติหรือไม่ตนยืนยันว่าไม่มี และมาทำหน้าที่ฝ่ายค้าน อย่างไรก็ตามรัฐบาลในขณะนั้นที่บริหารประเทศอยู่น่าจะไม่ไหว ประชาชนขาดความเชื่อมั่น เกียรติภูมิอธิปไตยของประเทศได้รับความเสียหาย ดีที่สุดคือการพยายามให้ยุบสภาดีกว่า
ซึ่งปรากฏว่าหลังจากนั้นไม่นาน มีการร้องไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ และนายกรัฐมนตรีถูกสั่งให้หยุดปฎิบัติหน้าที่ เราเชื่อว่าไม่มีคนยุบสภา ในการพูดคุยกับพรรคประชาชน เขาไม่มีแคนดิเดตนายกฯ จึงคิดหาวิธีคืนอำนาจให้กับพี่น้องประชาชน จึงเป็นที่มาของการทำข้อตกลง MOA ไม่มีอะไรพิสดาร ไม่ได้แอบเซ็นในห้องผู้นำฝ่ายค้านฯ ซึ่งมีเงื่อนไขต้องรับการเป็นรัฐบาลเสียงค่อนข้างน้อย และเข้ามาเพื่อยุบสภาภายใน4 เดือน รวมถึงการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ กำหนดไว้ในข้อตกลง และดำรงความเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย
โดยพรรคประชาชนจะกลับไปทำหน้าที่ฝ่ายค้าน พรรคภูมิใจไทยต้องไม่ทำวิธีการใดๆ ที่ทำให้เกิดเสียงข้างมาก การทำ MOA ทำระหว่างประชาชน และพรรคภูมิใจไทย ไม่ได้ผูกพันทั้งรัฐบาล แต่เมื่อเรามาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลจะมีการรักษาสัญญา คือ หลังวันที่ 1 ต.ค. นับไปอีก 4 เดือน ไม่เกิน 31 ม.ค. 69 จะทำการยุบสภาฯ วันที่ 14-15 ต.ค. 68 พรรคภูมิใจไทยจะเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งต้องถามว่าไม่ตรงกับ MOA อย่างไร
ต้องถามว่าพรรคภูมิใจไทยได้ สส. เพิ่มหรือไม่กับการจะดึงไปดูด สส. จากพรรคพวกท่านมา มีแต่พรรคภูมิใจไทยที่ถูกดูดจากพรรคพวกท่าน แต่โชคดีที่เขากลับตัวทันและบอกว่าไม่ไปขอกลับมาดีกว่า ยอมรับว่าพรรคภูมิใจไทยมีสส. เพิ่มขึ้นจากการเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดศรีสะเกษ ทั้งนี้ MOA จะมาบังคับในเรื่องการบริหารราชการแผ่นดินไม่ได้ แต่มากำหนดให้รัฐบาลดำเนินการคือ เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ และยุบสภาฯ ทั้งนี้ตนมาเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งอำนาจยุบสภาไม่ได้อยู่ที่รองนายกรัฐมนตรีนายเอกนิติ หรือ ร.อ.ธรรมมนัส แต่อำนาจอยู่ที่ตน จึงต้องทำตามข้อตกลงที่ทำไว้ อย่างเปิดเผยโดยพี่น้องประชาชนได้รับทราบอยู่แล้ว ดังนั้นควรต้องอ่าน MOA ให้เข้าใจบริบทว่า เรื่องนี้ไม่ได้มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง หรือความวิจิตรพิสดารใดๆ ยืนยันว่ารัฐบาลนี้ถูกจัดตั้งขึ้นมาโดยระบอบประชาธิปไตย และตนได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 313 เสียง
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึง สิ่งที่ท่านได้อภิปรายมา ที่ต้องการให้ตนลุกขึ้นยืนพูดตนก็ยืนขึ้นพูด ส่วนให้คำมั่นสัญญาได้หรือไม่ว่าตนจะไม่ใช้อำนาจหน้าที่ไปกดดันสั่งการ ชี้แนะให้ข้าราชการประจำแนวทางในการทำเรื่องที่กำลังเป็นประเด็นอยู่เช่นเขากระโดง ฮั้วสว. ซึ่งเรื่องนี้อยู่ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง หากมีปัญหาซึ่งการได้มาของสว. กกต. จะเป็นผู้ดำเนินการ มีแต่รัฐบาลของท่าน ที่พยายามสั่งให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอดำเนินการ และไปติดที่ข้อกฎหมาย และสุดท้ายคนที่จะดำเนินการคือกกต. ไม่ว่าท่านจะพยามส่งผู้แทนไปในคณะกกต. ท่านทำได้ แต่ทุกอย่างเป็นไปตามข้อกฎหมาย
เช่นเดียวกับเรื่องเขากระโดง ข้าราชการกระทรวงมหาดไทยออกมาชี้แจงแถลงแล้ว ซึ่งที่ผ่านมา รมว.มหาดไทยและ รมช.งมหาดไทยใจร้อนเอง เข้าไปวันแรก บอกวันที่ 2 ส.ค. 68 จะยึดที่ดิน ซึ่งเป็นการทำงานเช่นเดียวกับ น.ส.จิราพร คืออ่านอะไรไม่ได้ศัพท์ อ่านเร็วๆ และคิดว่าตัวเองเก๋า แล้วไปสรุปทุกเรื่องหมด สุดท้ายข้าราชการกระทรวง ทั้งปลัด อธิบดีกรมที่ดินที่ท่านตั้งขึ้น รวมถึงคณะกรรมการ แถลงว่า 2 อดีตรัฐมนตรีพูดเร็วไม่ตรงมติคณะกรรมการ ถามว่าท่านจะมาโทษอะไรตน คนที่ใช้อำนาจหน้าที่กดดันคือ รมว.มหาดไทย และ รมช.มหาดไทย ทั้ง 2 คน
ทั้งนี้ตนรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาเกือบ 1 เดือน และเข้าไปที่กระทรวงมหาดไทยเพื่อไปทักทายข้าราชการยังไม่มีการสั่งการอะไร และไม่มีความกังวลที่จะสั่งการ เพราะตนรู้เรื่องดี เนื่องจากเคยทำงานอยู่มา 2 ปี รู้ว่าทุกอย่างต้องทำตามกฏหมาย
ทั้งนี้ตนเคยทำหนังสือถึงปลัดกระทรวงกระทรวงมหาดไทย ในช่วงที่ตนเคยดำรงตำแหน่งเป็น รมว.มหาดไทย ให้ดำเนินการตามกฏหมายทางมระเบียบทุกอย่าง ที่กระทรวงคมนาคมเช่นเดียวกัน ซึ่งตนได้ทราบข่าวว่าผู้ว่าการรถไฟฯ จะเร่งฟ้องเป็นรายแปลง ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนต้องการไม่อยากให้ฟ้องเหมารวม หากแปลงไหนผิดต้องยึดคืน และแปลงไหนถูกต้องคืนความเป็นธรรม ซึ่งหากท่านอยากฟังตนก็พร้อมพูดให้ฟังอีกครั้งและท่านต้องจำได้ว่าตนพูดแล้วว่า ตนจะไม่มีวันใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หรือตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลทุกกระทรวงในรัฐบาล ไปให้พวกเขาช่วยใครก็ตามที่ทำผิดกฎหมาย
นายกรัฐมนตรี ยังระบุว่า ท่านต้องถอนคำพูดเพราะตนไม่ใช่ผู้ต้องหา ตนยังไม่ใช่ผู้ถูกกล่าวหาด้วย ซึ่งชอบใช้วาทกรรมให้พี่น้องประชาชนเข้าใจผิด ว่า “นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ต้องหาของดีเอสไอ” ขอให้เรียกอธิบดีเอสไอมาตรงนี้ และให้ถามว่าตนเป็นผู้ต้องหาหรือไม่ พร้อมถามด้วยว่ากล้าหรือไม่ ซึ่งหากเค้าบอกว่าตนไม่ใช่ผู้ต้องหาต้องไปแถลงให้ตนด้วยว่าไม่ใช่ เป็นการพูดผิด เพราะตนเป็นเพียงผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหา ก็ให้ความร่วมมือตามกฏหมายทุกอย่าง ทำหนังสือชี้แจง ตั้งทนายความขึ้นมาต่อสู้คดี ซึ่งหากตนผิดก็มีกระบวนการที่ต้องลงโทษอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ยืนยันว่ายังไม่ได้เป็นผู้ถูกกล่าวหา เป็นเพียงผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาเท่านั้น ซึ่งการที่มาพูดในฯ ว่าตนและ สว. เป็นผู้ต้องหาเป็นคำพูดที่ผิด และสว. ก็ยังไม่ได้มีใครที่เป็นผู้ต้องหาแม้แต่คนเดียว ซึ่งมีสถานะเช่นเดียวกับตนคือเป็นผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหา และดำเนินการตามกฎหมายมาตลอด นอกจากนี้ไม่รู้ว่าท่านวางยาตนหรือไม่ ให้ไปบอกสว. ให้มาแก้รัฐธรรมนูญ และต้อนรับรัฐธรรมนูญ ซึ่งท่านกำลังชี้ทางไปนรกให้ตน เพราะจะไปพูดอย่างนั้นได้อย่างไรเพราะห้ามชี้นำ และห้ามที่จะไปโน้มน้าวสส. และสว. เป็นการผิดรัฐธรรมนูญ ซึ่งท่านกำลังประสงค์ร้าย ให้ทำผิดรัฐธรรมนูญแล้วมาอภิปรายตนอีก ซึ่งตนขอยืนยันว่าเรื่องนี้ทำไม่ได้ซึ่งเป็นเรื่องของประชาธิปไตยที่ใครอยากแก้ไขก็ทำหากไม่เห็นด้วยก็ไม่ทำ และส่งขึ้นไปตามกระบวนการ และสุดท้ายอีก 4 เดือนจะเป็นการชี้ชะตา รับรองว่า 31 ม.ค. 69 ยุบสภาฯ แน่ และอาจเร็วกว่านี้หากมีความจำเป็นที่จะต้องยุบสภาฯ ดังนั้นไม่ต้องกังวล และใน 4 เดือนนี้ คนจะมาชี้ชะตาพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเรื่องนี้ไม่ต้องรอวานซืนนี้ชี้ชะตาทั้งพรรคภูมิใจไทยและพรรคเพื่อไทย
อย่างไรก็ตาม น.ส.แนน บุณย์ธิดา สมชัย สส.อุบลราชธานี พรรคภูมิใจไทยได้ทำการประท้วง และขอให้ น.ส.จิราพรถอนคำพูด “ผู้ต้องหา” ซึ่งนามงคล สุระสัจจะ ประธานที่ประชุม ได้ขอให้ น.ส.จิราพร ถอนคำพูด พร้อมระบุได้ว่า ตนในนาม สว. ก็เช่นเดียวกัน ยังไม่ได้เป็นผู้ต้องหา จากนั้น น.ส.จิราพร ได้ถอนคำพูด “ผู้ต้องหา” เปลี่ยนเป็นผู้พัวพันและสอดที่จะเข้ามายุบคดีหรือไม่
Advertisement