เมื่อวันที่ 27 ก.ย. ที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ขึ้นกล่าวถ้อยแถงต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติสมัยที่ 80 ว่า แม้ว่าตนจะเพิ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่รัฐบาลของตนได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งที่ตนต้องมาร่วมการประชุมในวันนี้ เพราะเรามีความเชื่อว่าช่วงเวลานี้มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด วาระครบรอบ 80 ปีของสหประชาชาติตรงกับช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่องค์การกำลังเผชิญความท้าทายสำคัญ
ตนขอเริ่มต้นด้วยการยืนยัน ว่าโลกยังคงต้องการสหประชาชาติ และสหประชาชาติก็ต้องการพวกเราทุกคนเช่นกัน แต่เพื่อให้สหประชาชาติสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้ เราทุกคนจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ประเทศไทยเองก็อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นกัน กำลังเผชิญกับความท้าทายเร่งด่วนภายในประเทศโดยไม่สามารถเสียเวลาได้ แต่ในขณะเดียวกัน วิสัยทัศน์ของเราก็มิได้จำกัดอยู่แค่ภายในพรมแดน หากมองออกไปยังโลกกว้าง เพราะเรามีความปรารถนาเช่นเดียวกับทุกประเทศ คือ โลกที่สงบสุข เป็นธรรม และมีความครอบคลุม
ด้วยจิตวิญญาณเช่นนี้ ประเทศไทยพร้อมที่จะมีบทบาทเชิงสร้างสรรค์ในการร่วมกันสร้างสหประชาชาติให้มีขีดความสามารถที่แท้จริง เพื่อส่งมอบสันติภาพ การพัฒนา และสิทธิมนุษยชนให้กับทุกคน หัวข้อการอภิปรายทั่วไปของปีนี้ “Better Together” เตือนใจเราว่าสหประชาชาติจะเข้มแข็งที่สุดเมื่อเราร่วมมือกันเป็น หนึ่งเดียว
ประการแรก เราต้องรวมเป็นหนึ่งเดียวในฐานะ ชุมชนเดียวกัน เมื่อ 80 ปีก่อน เราได้ร่วมกันรับรองกฎบัตรสหประชาชาติ ด้วยความหวังในสันติภาพ แต่ว่าในวันนี้ เรากำลังเผชิญโลกที่แตกแยกมากขึ้น จากการกีดกันทางการค้า ความแตกแยก ความขัดแย้ง และภัยจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ไม่มีประเทศใดรอดพ้น สงครามในยูเครนซึ่งยืดเยื้อมาจนเข้าสู่ปีที่ 3 ยังคงก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานและความเสียหายอย่างใหญ่หลวง เช่นเดียวกับสถานการณ์ในฉนวนกาซา ที่ความทุกข์ยากอย่างสาหัสโดยเฉพาะกับเด็กและพลเรือนผู้บริสุทธิ์ เหตุการณ์เหล่านี้ตอกย้ำว่า เมื่อสันติภาพถูกทำลาย ต้นทุนของสงครามไม่ได้ตกอยู่กับรัฐเพียงอย่างเดียว แต่คือชีวิตของผู้คนธรรมดาที่ต้องแตกสลาย ในฐานะชุมชนเดียวกัน ทุกประเทศมี ความรับผิดชอบร่วมกัน ในการส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ
ประเทศไทยตั้งใจทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ในการรักษาสันติภาพของเรายังคงปฏิบัติภารกิจทั่วโลก เพื่อช่วยฟื้นฟูชีวิตที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง
ภายในประเทศ เราได้เคลียร์พื้นที่ปนเปื้อนทุ่นระเบิดแล้วกว่า 99% ภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยการห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (ออตตาวา) ซึ่งไม่ใช่แค่การปฏิบัติตามสนธิสัญญาเท่านั้น แต่คือการมอบผืนดินที่ปลอดภัยให้กับชุมชน เพื่อให้พวกเขาสามารถอยู่อาศัยและเติบโตได้อีกครั้ง นี่คือการปฏิบัติหน้าที่ของเราต่อประชาชนอย่างแท้จริง
การปกป้องประชาชนภายในประเทศเป็นเพียงส่วนหนึ่งของภารกิจ เรายังต้องเผชิญกับความท้าทายข้ามพรมแดน เช่น การย้ายถิ่นฐานที่เกิดจากความขัดแย้งและภัยพิบัติ ซึ่งไม่มีประเทศใดจะแก้ไขได้โดยลำพัง ประเทศไทยได้ทำสิ่งนี้จริงจังมาหลายทศวรรษ เราเป็นเจ้าภาพให้ผู้พลัดถิ่นจากเมียนมา และปัจจุบัน เรากำลังมอบโอกาสให้พวกเขาสามารถทำงานนอกพื้นที่พักพิงชั่วคราว เพื่อให้มีชีวิตที่มีศักดิ์ศรีและสามารถมีส่วนร่วมในสังคมได้ นี่คือตัวอย่างของความมุ่งมั่นด้านมนุษยธรรมและแนวทางแก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรมของเรา
ในทำนองเดียวกัน ประเทศไทยกำลังเร่งความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ รวมถึงอาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง อาชญากรรมไร้พรมแดน ต้องการ ความร่วมมือไร้พรมแดน เช่นกัน
วิสัยทัศน์ของ “หนึ่งชุมชน” ต้องเริ่มจากใกล้ตัวก่อน ภูมิภาคคือรากฐานของชุมชนโลก ในภูมิภาคของเรา ความสงบและความมั่นคงเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างประชาคมอาเซียน
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายก็ยังคงมีอยู่ใกล้บ้านเรา สถานการณ์ในเมียนมายังคงเป็นประเด็นที่น่าวิตก ประเทศไทยได้ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมตามแนวชายแดน และยังคงเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเดินหน้าสู่การเจรจาและกระบวนการสันติภาพที่ยั่งยืน เพราะนี่คือรากฐานของสันติภาพถาวรในเมียนมา
แม้แต่ในหมู่ประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิด ความขัดแย้งก็สามารถเกิดขึ้นได้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันกับกัมพูชาไม่ใช่สิ่งที่พึงประสงค์ และไม่เป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย ความสงบ ความมั่นคง และความรุ่งเรืองของเราผูกพันกันอย่างแนบแน่น เราไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เพราะเราคือครอบครัวเดียวกันในอาเซียน
นายสีหศักดิ์ ระบุว่า เดิมที ตนตั้งใจจะกล่าวสิ่งที่ต่างออกไปและเป็นบวก สะท้อนความหวังต่ออนาคต แต่ตนจำเป็นต้องเขียนคำปราศรัยใหม่นี้ขึ้นมา เพราะคำกล่าวของผู้แทนกัมพูชาที่น่าเสียใจอย่างยิ่งในวันนี้ เป็นที่น่าผิดหวังที่กัมพูชายังคงวางตัวเป็นเหยื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า และนำเสนอข้อเท็จจริงในมุมของตนเองที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง เพราะเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างชัดเจน
“เราทราบดีว่าใครคือเหยื่อที่แท้จริง คือทหารไทยที่สูญเสียขาจากทุ่นระเบิด เด็กนักเรียนที่โรงเรียนถูกยิงถล่ม และพลเรือนผู้บริสุทธิ์ที่กำลังจับจ่ายในร้านขายของชำที่ถูกโจมตีด้วยจรวดจากฝั่งกัมพูชาในวันนั้น เมื่อวานนี้ ผมได้พบกับผู้แทนกัมพูชาในอาคารแห่งนี้ของสหประชาชาติ เราได้พูดถึงสันติภาพ การเจรจา ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ซึ่งต่อมาได้ย้ำอีกครั้งในการหารือแบบไม่เป็นทางการ 4 ฝ่าย ที่สหรัฐอเมริกาเป็นเจ้าภาพ เราขอขอบคุณประธานาธิบดีทรัมป์ที่ให้ความสำคัญกับสันติภาพ แต่เป็นที่น่าเสียใจอย่างยิ่งว่า คำพูดที่ฝ่ายกัมพูชากล่าวในวันนี้ แตกต่างโดยสิ้นเชิงจากสิ่งที่พูดกันเมื่อวาน แสดงให้เห็นถึงเจตนาที่แท้จริงของกัมพูชา ข้อกล่าวหาที่พวกเขาเสนอมีความเหลวไหลจนบิดเบือนความจริงอย่างสิ้นเชิง” นายสีหศักดิ์ กล่าว
นายสีหศักดิ์ กล่าวว่า กัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มต้นความขัดแย้ง โดยมีเจตนาจะขยายข้อพิพาทชายแดนให้กลายเป็นความขัดแย้งระดับชาติ และนำเข้าสู่เวทีระหว่างประเทศอีกครั้งดังที่เกิดขึ้นในวันนี้
“หมู่บ้านที่ผู้แทนกัมพูชากล่าวถึงก่อนหน้านี้ ตั้งอยู่ใน ดินแดนไทย อย่างชัดเจน หมดสิ้นข้อโต้แย้ง แท้จริงแล้ว หมู่บ้านเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะประเทศไทยตัดสินใจเปิดพรมแดนในช่วงปลายทศวรรษ 1970 เพื่อให้ชาวกัมพูชาหลายแสนคนที่หนีสงครามกลางเมืองได้เข้ามาลี้ภัยในประเทศไทย เราทำเช่นนั้นด้วยความเมตตาและหลักมนุษยธรรม ผมในฐานะนักการทูตหนุ่มในเวลานั้นได้เห็นเหตุการณ์นี้ด้วยตาของตนเอง แม้ว่าสงครามกลางเมืองจะยุติลงและศูนย์พักพิงถูกปิดไปแล้ว หมู่บ้านของชาวกัมพูชาก็ได้ขยายตัวขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา และแม้ไทยจะประท้วงซ้ำแล้วซ้ำอีก กัมพูชาก็ไม่ยอมดำเนินการใด ๆ เพื่อแก้ไขการรุกล้ำดังกล่าว และเมื่อสันติภาพกลับคืนสู่กัมพูชาหลังความตกลงปารีสปี 1991 ประเทศไทยก็อยู่ที่นั่น เพื่อช่วยสร้างบ้าน ถนน และโรงพยาบาล เราทำเช่นนี้เพราะสันติภาพของกัมพูชาก็คือผลประโยชน์ของประเทศไทย นี่แหละคือสิ่งที่เพื่อนบ้านพึงทำให้กันและกัน” นายสีหศักดิ์ กล่าว
ข้อตกลงหยุดยิงยังคงเปราะบาง เราจำเป็นต้องทำให้มันเกิดผลอย่างแท้จริง ซึ่งต้องอาศัยความมุ่งมั่นและการกระทำที่จริงใจจากทั้งสองฝ่าย น่าเสียใจที่การยั่วยุของกัมพูชายังคงดำเนินต่อไป รวมถึงการระดมพลเรือนเข้ามาในดินแดนไทย และการยิงจากฝั่งกัมพูชาไปยังฝั่งไทย ซึ่งบั่นทอนสันติภาพและความมั่นคงตามแนวชายแดน ตนขออ้างถึงเหตุการณ์ต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน ที่กองกำลังกัมพูชายิงใส่ทหารไทยที่ประจำการตามแนวชายแดน และล่าสุดก็เกิดขึ้นในวันนี้ นอกจากนี้ ทหารไทยยังตรวจพบ โดรนลาดตระเวนของกัมพูชา บินเข้ามาในน่านฟ้าไทยเป็นประจำทุกวันในหลายพื้นที่ชายแดน การกระทำเหล่านี้เป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย และเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงที่บรรลุในการประชุมพิเศษที่ปุตราจายา ประเทศมาเลเซีย รวมถึงที่ได้รับการย้ำอีกครั้งในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทวิภาคี
นายสีหศักดิ์ ย้ำว่า ประเทศไทยได้ยืนหยัดเพื่อสันติภาพเสมอมา และจะทำทุกวิถีทางเพื่อหาทางออกโดยสันติสำหรับปัญหากับกัมพูชา ขณะเดียวกัน ประเทศไทยจะยืนหยัดอย่างมั่นคงและเด็ดเดี่ยวในการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของตน เราขอเรียกร้องให้กัมพูชาร่วมมือกับเราในการแก้ไขความขัดแย้งผ่านการเจรจาอย่างสันติและกลไกที่มีอยู่
วันนี้ ประเทศของเราทั้งสองกำลังยืนอยู่ต่อหน้าทางเลือกที่สำคัญ ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านใกล้ชิดและมิตร ประเทศไทยต้องถามกัมพูชาว่า พวกเขาจะเลือกเดินบนเส้นทางใด ระหว่างเส้นทางแห่งความขัดแย้งที่ต่อเนื่อง หรือเส้นทางแห่งสันติภาพและความร่วมมือ
ประเทศไทยเลือกเส้นทางแห่งสันติภาพ เพราะเราเชื่อว่าประชาชนของทั้งสองประเทศสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่านั้น แต่เราก็มีคำถามอย่างจริงจังว่า กัมพูชามีเจตนาที่แท้จริงจะร่วมกับเราเดินบนเส้นทางแห่งสันติภาพหรือไม่
สำหรับประเทศไทย “การเจรจา ความไว้วางใจ และความสุจริตใจ” ไม่ใช่เพียงคำพูดเท่านั้น แต่เป็นแนวทางในการเดินหน้า เราจะยึดมั่นในหลักการเหล่านี้ในการมีปฏิสัมพันธ์กับหุ้นส่วนทั้งในอาเซียนและประชาคมระหว่างประเทศ รวมถึงมหาอำนาจ เพื่อมุ่งสู่สันติภาพที่ยั่งยืนและความรุ่งเรืองร่วมกัน
Advertisement