วันนี้ (9 ก.ย.68) ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ได้พูดคุยกับ นายจาตุรนต์ ฉายแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ถึงกรณียื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตรวจสอบกรณีการทำ MOA ระหว่างพรรคประชาชน กับพรรคภูมิใจไทย นายจาตุรนต์ มองว่า เรื่องดังกล่าวไม่สมควรยื่นศาลรัฐธรรมนูญ เพราะพิจารณาจากข้อกล่าวหา ทั้งเรื่องการได้อำนาจมาโดยไม่ได้เป็นไปตามครรลองระบอบประชาธิปไตย , และข้อหาล้มล้างการปกครอง รวมถึงการครอบงำพรรคการเมือง ซึ่งไม่เข้าข่ายทั้งสิ้น
มองว่าเป็นการต่อรองกันระหว่างพรรคการเมือง ไม่น่าจะเป็นการครอบงำ นอกจากนี้ยังไม่ได้เป็นการล้มล้างการปกครอง เพราะไม่ได้สนับสนุนการรัฐประหาร ดังนั้น ตนเองมองว่าเป็นปัญหาการเมืองที่ต้องแก้ด้วยการเมือง เช่น ติดตาม วิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของรัฐบาลและพรรคประชาชน ไม่ควรนำเรื่องดังกล่าวยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ
ซึ่งข้อหาที่กล่าวมา หากยื่นต่อศาลเเล้วมีความผิด ก็อาจจะนำไปสู่การยุบพรรค ตนมองว่าการยื่นยุบพรรคใด ๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นพรรคพันธมิตรหรือพรรคฝ่ายตรงข้าม เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ และประเทศไทยไม่ควรมีการยุบพรรคการเมืองอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และเป็นสิ่งที่พรรคเพื่อไทยต้องเผชิญมาโดยตลอด ตั้งแต่สมัยเป็นพรรคไทยรักไทย
ส่วนพรรคประชาชน ถึงเเม้จะประกาศตนว่าเป็นฝ่ายค้าน เเต่ก็ไม่เชื่อว่าจะเป็นฝ่ายค้านเต็มตัวเพราะพรรคประชาชนจะต้องใช้เวลาเป็นจำนวนมากในการไปอุ้มรัฐบาล โดยเฉพาะเรื่องขององค์ประชุม จะทำให้การตรวจสอบรัฐบาลไม่มีประสิทธิภาพ จึงไม่มั่นใจว่าพรรคประชาชน จะทำหน้าที่ฝ่ายค้านได้อย่างเต็มที่หรือไม่ ดังนั้น บทบาทของพรรคเพื่อไทยในฐานะฝ่ายค้าน จะต้องทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง ติดตามตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล หากจะให้พรรคประชาชนเป็นแกนหลักในพรรคร่วมฝ่ายค้านเหมือนครั้งที่เเล้ว คงไม่เป็นที่ยอมรับ
ดังนั้นการทำหน้าที่ฝ่ายค้านระหว่างเพื่อไทยกับพรรคประชาชนในรอบนี้ คงจะเป็นในลักษณะแยกกันทำ หรืออาจจะร่วมกันทำในบางเรื่อง ที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน เช่น การแก้กฎหมายบางฉบับ เเละการเเก้ไขรัฐธรรมนูญ
ส่วนกรณีที่นักวิเคราะห์ หรือแม้กระทั่ง สส.ภายในพรรค ที่ออกมาพูดว่าพรรคเพื่อไทยเข้าสู่ยุคตกต่ำ หรือคะเเนนนิยมลด เรื่องนี้ต้องยอมรับ เพราะดูจากโพลต่าง ๆ พบว่าคะแนนนิยมก็ลดลงไปมากจริง จากผลกระทบดังกล่าวทั้ง 2 คดี ที่ผ่านมา ซึ่งจะต้องฟังเสียงความคิดเห็นจากประชาชนมาประกอบ เราจะต้องมาดู และสรุปบทเรียนว่าสาเหตุเกิดจากอะไร และต้องหาทางแก้ไขโดยระดมความเห็นจากทุกฝ่าย ทั้งคนในพรรคและบุคคลภายนอก จากนั้นก็ต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลง หากไม่รับฟังหรือแก้ไขอย่างจริงจัง ก็อาจจะลำบากกว่าเดิมลงไปอีก เป็นเรื่องที่ทุกคนจะต้องตระหนัก
ส่วนกรณีที่ สส.ของพรรคบางคนลาออก ยอมรับว่ามีผลโดยตรงต่อพรรค ซึ่งในเรื่องดังกล่าวก็จะต้องย้อนกลับไปดูที่สาเหตุ ว่าเขาลาออกด้วยเหตุผลใด จะต้องนำปัญหาดังกล่าวมาแก้ไข
ผู้สื่อข่าวได้ถามถึงกระเเสข่าวว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าอาจจะมี สส.ของพรรคเพื่อไทยหลายคนย้ายพรรค นายจาตุรนต์ บอกว่า ขณะนี้เรายังไม่ทราบว่า สส.ของพรรค จะอยู่ด้วยกันต่อไป หรือจะแยกย้ายกันออกไปมากน้อยแค่ไหน ซึ่งก่อนหน้านี้ข่าวก็ไม่ค่อยดีนัก โดยในช่วง 6 - 8 ปีที่ผ่านมา เกิดการเปลี่ยนแปลงของพรรคการเมืองหลายพรรค ในลักษณะทั้งขึ้นทั้งลง บางพรรคเป็นที่นิยม - เติบโตอย่างรวดเร็ว แต่บางพรรคที่ปรับตัวไม่ทัน หรือดำเนินการผิดพลาดทางยุทธศาสตร์ ก็ทำให้พรรคแตก สส.แยกย้ายกันไป หาอุดมการณ์หรือจุดขายยาก เปลี่ยนจากพรรคใหญ่มาเป็นพรรคเล็ก ซึ่งพรรคเพื่อไทย จะต้องไม่ให้พรรคเพื่อไทยตกอยู่ในสถาพนั้น
ดังนั้นจะต้องศึกษาจากเรื่องนี้ พรรคเพื่อไทยที่เจอมรสุมติดต่อกันมา และก่อนที่จะเจอมรสุมลูกใหญ่ พรรคอยู่ในสภาวะคะแนนนิยมตกต่ำ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามจะต้องปรับตัวให้ทัน เพื่อไทยเป็นพรรคที่เคยมีผลงานโดดเด่น โดยเฉพาะเรื่องการคิดนโยบายได้ดี และนำไปปฏิบัติได้ดี อาจจะมือตกไปหน่อยในช่วงหลังมานี้ การทำเรื่องสำคัญ หรือคิดนโยบาย ได้น้อยกว่าสมัยก่อน จะต้องมาค้นหาว่าเป็นเพราะอะไร ส่วนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยพรรคเพื่อไทยก็มีบทบาทมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย ซึ่งเคยเป็นจุดแข็งของพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอด แต่ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา บทบาทดังกล่าวไม่ชัดเจน ซึ่งนอกจากจะแก้ปัญหาแล้วจะต้องวางแผนต่อ ถึงการคัดเลือกคนที่จะมาเป็นผู้นำ เป็นสิ่งที่จะต้องวางแผนให้รอบคอบ มิเช่นนั้นก็จะลำบาก
นายจาตุรนต์ กล่าวอีกว่า "ตนพูดในฐานะสมาชิกพรรคเพื่อไทยตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง ที่แสดงความเห็น และหวังว่ากรรมการบริหารพรรคและเเกนนำพรรคจะรับความคิดนี้ และรับฟังความคิดเห็นอย่างกว้างขวางขึ้น แล้วนำไปคิดกันอย่างจริงจัง แต่ถ้าไม่คิดจริงจัง ก็จะลำบากไปด้วยกัน น่าเสียดายที่เมื่อลำบากไปด้วยกันแล้ว ก็อาจจะทำให้การรับใช้ประชาชน เเละการรับใช้ประเทศชาติได้ไม่มากเหมือนสมัยก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องพยายาม
Advertisement