“จักรภพ เพ็ญแข”เชื่อ “ทักษิณ” ไม่หนี ส่วน “อนุทิน” อาจมีคดีใหม่กวนใจ
“จักรภพ เพ็ญแข”เชื่อ “ทักษิณ” ไม่หนี ส่วน “อนุทิน” หวังว่ามีสุขภาพกาย สุขภาพใจ และสุขภาพจิตสมบูรณ์ในการทำงาน แต่ให้ระวังสุขภาพคดีไว้แล้วกัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
วันนี้ (16.00 น.) ผู้สื่อข่าวได้ไปพูดคุยกับ นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และอดีตโฆษกรัฐบาล บอกว่า หลังจากมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ตอนนี้ต้องตั้งสติให้ดีๆ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายสมหวังหรือผิดหวังก็ตาม เราต่างคนก็ต่างได้มาแล้วขั้นหนึ่ง ก็คือได้ระบอบประชาธิปไตย เพราะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลโดยสงบสันติ ไม่ได้ใช้กำลังทหารหรือว่าม็อบที่บ้าคลั่งอะไร เปลี่ยนด้วยความสันติ ถือว่าเป็นผลได้กับประเทศ ได้ทั้งฝ่ายภูมิใจไทย ได้ทั้งฝ่ายเพื่อไทยด้วย ตอนมีสิ่งที่ทำให้เกิดความสับสนเข้ามา ก็คือท่านอดีตนายกฯทักษิณ ซึ่งก่อนวันที่ 9 กันยายน ก็จะกลับประเทศไทย และกลับมาก็ทำให้ข่าวลือต่างๆ ที่บอกว่าหนีไปแล้ว จะได้หมดไปสักทีนึง และพรรคเพื่อไทยก็จะได้กลับมารวมสังขารแล้วก็เตรียมตัวสำหรับการเป็นฝ่ายค้าน รวมถึงเตรียมตัวสำหรับการเลือกตั้ง หากจะยุบสภาผู้แทนราษฎรหรือว่าหมดวาระในอนาคต
ตอนนี้รัฐบาลโดยการนำของนายกฯอนุทิน ต้องตระหนักให้ดี ว่าประเทศอยู่ในสถานะที่ไม่สามารถจะประมาทได้ ทั้งเรื่องชายแดนไทย-กัมพูชา เรื่องของการเจรจาภาษีสหรัฐ ซึ่งยังมีต่อเนื่องไป ไทยยังไม่ได้ปลอดภัยอยู่ที่ 19% เพราะยังมีการเจรจามาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (MTB) และข้อต่อมาคือ ประชาชนในประเทศยังมีความรู้สึกว่า เหตุการณ์ไม่เข้าที่ การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลการแยกขั้ว โจมตีระหว่างแต่ละฝ่าย และสุดท้ายก็คือเรื่องของคดีความ ที่มีต่อตัวบุคคลและพรรคภาคภูมิใจไทยและพรรคประชาชนด้วย
มองว่าพรรคเพื่อไทยเองก็มีส่วน โดยเฉพาะในประเด็นที่พรรคภูมิใจและพรรคประชาชน ออกมายอมรับอย่างเปิดเผยว่ามีการข้อตกลงล่วงหน้า เกี่ยวกับการร่วมรัฐบาล รวมถึงเงื่อนไขของพรรคประชาชน เช่นกันยุบสภา 4 เดือน เรื่องการทำงานอะไรต่างๆหลายเรื่อง ซึ่งเรื่องพวกนี้สามารถจะถูกตีความได้ว่า เป็นความผิดตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากว่ามีการทำข้อตกลงกันก่อน ทำให้พรรคประชาชนอาจที่เป็นผู้ครอบงำรัฐบาลได้ อาจจะรุนแรงถึงขั้นยุบพรรคกันต่อไป หลังจากนั้นจะมีการตีความต่อไปอีก ว่าใครจะเป็นรัฐบาลได้หรือเป็นรัฐบาลไม่ได้
นายจักรภพ บอกว่า ขณะนี้ประเทศกำลังเผชิญกับปัญหา 2 อย่างพร้อมกัน ก็คือเสถียรภาพการเมืองในประเทศ และเสถียรภาพการเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะระหว่างประเทศในอาเซียนแล้วก็สภาพของโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด ตรงนี้ตนห่วง แต่ก็ไม่อยากให้พี่น้องประชาชนชาวไทยต้องเครียดเกินไป แต่ว่าใครยืนอยู่ตรงไหน ในแง่ระบบและระบอบ เราจะเดินต่อไป
ส่วนที่มีการดึง รมว.คนนั้นเข้ามานั้น ตนเองไม่ห่วงเท่าไหร่ รัฐบาลมีสิทธิ์ที่จะดึงคนนอก ที่มีความรู้ความสามารถ และพิสูจน์ได้ว่า ไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรเกี่ยวข้องกันเป็นการส่วนตัวมาช่วยงาน ก็สามารถทำได้ แต่ต้องฝากนายกรัฐมนตรีเป็นพิเศษว่า เวลาไม่นานนัก ตามที่ท่านประกาศไว้ ไม่ใช่เวลาปีกว่าด้วยซ้ำ แต่จะเป็นเพียงไม่กี่เดือน แต่รัฐมนตรีหน้าใหม่นั้น จะสามารถปรับตัวเข้ากับระบบการบริหารเศรษฐกิจและทำงานได้เป็นประโยชน์สูงสุดตามที่ท่านหวังหรือไม่ เพราะเวลาสั้นมาก เพราะฉะนั้นท่านนายกรัฐมนตรี ต้องอย่าลืมความรับผิดชอบตรงนี้ หากแต่งตั้งคนคนนอก ตนเคยอยู่ในการเมือง กว่าจะรู้ระบบราชการ ก้ยากมากที่จะทำงานได้ทันที ก็ขอให้เสียเวลาน้อยที่สุด พูดตรงๆคือ 4 เดือน ยังตั้งข้อกฎหมายไม่ทัน แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องไว้ใจรัฐบาล ในเมื่อรัฐบาลเป็นรัฐบาลแล้ว ซึ่งตนจะไม่ไปเสนอรัฐบาล
ส่วนที่นายกรัฐมนตรี บอกว่าจะไม่ลาหยุดนั้น ตนก็ได้แต่หวังว่า ความตั้งใจจะนายกฯเป็นจริง มีสุขภาพกาย สุขภาพใจ และสุขภาพจิตที่เรียกว่าสมบูรณ์ในการทำงาน เพื่อแผ่นดิน แต่ให้ระวังสุขภาพคดีไว้แล้วกัน อาจจะมีเรื่องคดีเข้ามาแทรก ทำให้ไม่ได้ดั่งใจ เรื่องคดีจะมีการดำเนินในระหว่าง 4 เดือนนี้พอดี ทั้งคดีใหม่ ที่ทำข้อตกลงระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาชน ทั้งคดีเก่าเกี่ยวกับเรื่องเขากระโดง คดีฮั้ว สว.จะเข้ามาในช่วงพอดี รัฐบาลก็ต้องบริหารให้ดี
ส่วนกรณีที่คุณหญิงพจมาน ส่งดอกไม้ ไปแสดงความยินดีพรรคเพื่อไทยนั้น ตนมองว่าต้องการสื่อสาร ว่าเราไม่ได้เป็นศัตรูกัน อาจะเป็นคู่แข่งกัน แต่เราไม่ใช่ศัตรูกัน แล้วตอนนี้ประเทศชาติบ้านเมืองมาถึงจุดที่ต้องพักเรื่องส่วนตัวแล้ว สิ่งที่กลัวที่สุด ก็คือปัญหาที่ต่างประเทศ จะมองว่าไทยกลายเป็นประเทศที่เรียกว่าตกอันดับในสายตาของนักลงทุน นักการค้า นักท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ซึ่งทำให้ประเทศไทยถูกซ้ำเติม ยิ่งมีปัญหาเรื่องชายแดน ตนหวังว่ารัฐบาลจะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้
ส่วนที่มีสื่อต่างชาตินัดสัมภาษณ์นั้น เขาอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องอนาคตการเมืองต่อไป เพราะที่ผ่านมา 2-3 ปี ดูเหมือนจะเป็นเรื่องของการเมืองเก่าที่ยังย้อนกลับมาหลอกหลอนประเทศไทยอยู่ ยังเป็นเรื่องอดีต เขาก็เลยอยากรู้ว่า ในอนาคตนั้นจะเปลี่ยนแปลงแค่ไหน ประชาชนคิดอย่างไร ประชาชนยังสนใจการเมืองไหม หรือว่าเบื่อหน่าย ความต้องการรวมๆ ก็คือว่าอยากจะรู้ว่าประเทศไทยนั้น จะแก้ปัญหาการเมือง แล้วไปเสริมความสามารถในการแข่งขันระหว่างประเทศอย่างไร ใครจะชนะแพ้ สำคัญกับว่าเราต้องมีประเทศให้บริหาร
ส่วนนายนพดล ที่ลาออกจากตำแหน่งนั้น มองว่าท่านเป็นผู้ทำงานการเมืองในลักษณะอาสาสมัคร เป็นหนึ่งในผู้ที่จะไม่ออกห่างจากพรรค ตอนนี้ตนคิดว่านายนพดล อยากให้คนรุ่นหลังทำหน้าที่มากกว่า ยืนยันว่าไม่มีปัญหากันภายในพรรค ตอนนี้ปัญหาที่มีก็คือ พี่น้องประชาชนที่เป็นฝ่ายเรา สนับสนุนพรรคเพื่อไทย จิตตก เสียใจกันบ้าง บางคนร้องห่มร้องไห้ ก็ได้แต่บอกว่านี่คือครรลองการเมือง นี่ไม่ใช่เผด็จการกับประชาธิปไตย แต่เป็นประชาธิปไตยด้วยกัน สมบัติผลัดกันชม ขณะเดียวกันในส่วนของพรรคเพื่อไทย ก็ถือเป็นโอกาสที่ดีในการที่จะปฏิรูปปรับปรุง แล้วก็เปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ภายในพรรค เพื่อเตรียมสู่การเลือกตั้ง ตนคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีเมื่อมองในระยะยาว
ส่วนคุณทักษิณนั้น ตอนนี้ยังไม่ได้คุย แต่ยืนยันว่า กลับบ้านแน่นอน ไม่หนี กลับมาก่อนวันที่ 9 กันยายนนี้
Advertisement
