เปิดขั้นตอน-หลักเกณฑ์ การประชุมสภาโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 "อนุทิน-ชัยเกษม" ชิงดำ ท่ามกลางแคนดิเดต 5 คน
จากกรณีศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยตัดสินให้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากกรณีคลิปเสียงสนทนากับ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ส่งผลให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง และรัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่ง ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ประธานสภาผู้แทนราษฎรจึงได้มีคำสั่งให้นัดประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวันนี้ (5 ก.ย.) เพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่
สำหรับการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ต้องมาจากบัญชีของพรรคการเมืองที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ไม่น้อยกว่า 5% คือ 25 คนขึ้นไป ซึ่งมีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวมีจำนวน 5 คน ดังนี้
มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 140 คน จบการศึกษาปริญญาตรีรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาโทกฎหมาย (L.L.M.) มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา
มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 69 คน จบการศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮอฟตรา สหรัฐอเมริกา และพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (Mini MBA)
มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 36 คน จบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (จปร.) ทั้งนี้ ปัจจุบัน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำรงตำแหน่งองคมนตรี หากมีการเสนอชื่อและสภาผู้แทนราษฎรมีมติเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี จะต้องลาออกจากตำแหน่งองคมนตรีก่อน
มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 36 คน จบการศึกษาปริญญาตรีนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปริญญาโทกฎหมายอเมริกันทั่วไป (LLM) และกฎหมายเปรียบเทียบ (MCL) มหาวิทยาลัยทูเลน สหรัฐอเมริกา
มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 25 คน จบการศึกษาปริญญาตรีรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และปริญาโท รัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยนิด้า
1.สส. เสนอชื่อ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ในบัญชีพรรคการเมืองที่มี สส. ในสภาฯ อย่างน้อย 25 เสียงขึ้นไป
ตามมาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ขั้นตอนการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เริ่มต้นจากการเสนอรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี โดย
1.พรรคการเมืองที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่า 5% คือ 25 คนขึ้นไป สามารถเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จากบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งต่อสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง และต้องมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้การรับรองไม่ต่ำกว่า 50 คน
2.ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาจขอให้แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงวิสัยทัศน์ โดยขึ้นอยู่กับมติที่ประชุม
3.การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีต้องลงมติอย่างเปิดเผย โดยการออกเสียงลงคะแนนเป็นรายคน ตามลำดับตัวอักษร หากเสนอชื่อเดียว ให้ขานว่า 'เห็นชอบ' หรือ 'ไม่เห็นชอบ' หรือ 'งดออกเสียง' หากเสนอหลายชื่อ ให้ขานชื่อคนที่ตนต้องการให้เป็นนายกฯ หรือ 'งดออกเสียง'
4.ผู้ที่ได้รับเลือกจะต้องได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรทั้งหมด นั่นคือ ต้องได้ไม่น้อยกว่า 247 เสียง หากไม่มีผู้ใดได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง จะต้องเลือกใหม่ โดยสามารถเสนอชื่อคนเดิมหรือเปลี่ยนเป็นบุคคลอื่นที่อยู่ในบัญชีรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีได้
5.เมื่อมีผู้ได้เสียงข้างมากแล้ว ประธานสภาผู้แทนราษฎรจะนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญ ปี 2560 ไม่ได้กำหนดกรอบเวลา ในการเลือกนายกฯ ว่าต้องสิ้นสุดเมื่อใด
สำหรับการเลือกนายกรัฐมนตรี คนที่ 32 ของประเทศไทย ไม่เพียงแต่เป็นการหาบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาล แต่เป็นกระบวนการที่จะสะท้อนถึงเสถียรภาพทางการเมืองและทิศทางของประเทศไทยในอนาคต ทำให้การเลือกนายกรัฐมนตรีที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นที่จับตามองของประชาชน และจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการเมืองไทย
Advertisement