"ช่อ พรรณิการ์" เผย พท. พูดมากมายความหมายติดลบ เชื่อ โหวตนายกฯ ราบรื่น

"ช่อ พรรณิการ์" เผย พรรคเพื่อไทย พูดมากมายความหมายติดลบ ชี้ มีกลไกจัดการรัฐบาลเสียงข้างน้อยอยู่แล้ว หากอนุทินเบี้ยว เชื่อ โหวตนายกฯ ราบรื่น

(4 ก.ย. 2568) ผู้สื่อข่าวอมรินทร์ทีวีได้พูดคุยกับ น.ส.พรรณิการ์ วานิช หรือ ช่อ พรรณิการ์ แกนนำคณะก้าวหน้า ถึงประเด็นร้อนทางการเมือง กรณีที่พรรคเพื่อไทยออกมาโพสต์ ว่า "ถ้าเลือกชัยเกษม เป็นนายก จะยุบสภา ทันที" น.ส.พรรณิการ์ เปิดเผยว่า พรรคเพื่อไทยคำพูดมากมายความหมายติดลบ เพราะการกระทำสวนทางกันไปหมด การที่ช่วงเช้าของวันนี้ นายณัฐพงษ์ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน และตนเอง ที่ได้เห็นหนังสือเวียน เรื่องการนัดโหวตนายกรัฐมนตรี ที่ส่งให้กับสมาชิก แม้เมื่อวานนี้เรื่องของการยุบสภา จะมีข่าวลือว่าถูกตีกลับ และก็ยังมีลือกันอีกในระดับหนึ่งว่ามีการยื่นซ้ำ

พรรคประชาชน พูดมาเสมอว่า การยุบสภา คือทางออกที่ดีที่สุด ซึ่งขณะนั้นก็ข้องใจว่า หากกระบวนการยุบสภายังไม่เสร็จสิ้น ทำไมประธานสภาถึงได้บรรจุยัตติโหวตนายกรัฐมนตรี เนื่องจากปกติแล้วหากมีการยื่นทูลเกล้ายุบสภา แม้ว่าจะสำเร็จหรือไม่นั้นต้องรอให้กระบวนการดังกล่าวแล้วเสร็จก่อน หากได้ก็คือยุบสภา และนำไปสู่การเลือกตั้ง แต่หากยุบสภาไม่ได้ ก็จะนำไปสู่การโหวตนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แต่ปรากฏว่าเหตุการณ์ 2 อย่างนั้นเกิดชนกัน และทางพรรคเพื่อไทยเอง ก็บอกว่าจะส่งแคนดิเดตชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งตนเองก็ยังไม่เข้าใจว่า คืออะไรในเมื่อตัวของคุณภูมิธรรม บอกว่ายื่นทูลเกล้ายุบสภา แต่สุดท้ายกลับส่งแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพื่อโหวตนายก ซึ่งตัวของคนภูมิธรรม ไม่ชัดเจนใดๆ ทั้งสิ้น เพราะตอนนี้ทุกคนอยากทราบว่า กระบวนการยุบสภานั้นจบหรือยัง เพราะมีแค่ตัวของคุณภูมิธรรมเท่านั้น ที่รู้เพราะเป็นผู้มีอำนาจ

หลังจากนั้น คุณจิรายุ ก็มีการออกมาให้ข่าวว่าจะมีการเสนอ นายชัยเกษม เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พร้อมเสนอเงื่อนไข ยุบสภาทันที ซึ่งขณะนั้นพรรคประชาชน ก็งงเป็นไก่ตาแตก เพราะไม่ได้มีการ ติดต่อมาจากพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาชนทราบข่าวพร้อมๆกับคนไทยว่ามีข้อเสนอนี้ ต่อมาอีกไม่นาน นายสรวงศ์ ก็ออกมาให้ข่าวว่าเงื่อนไขดังกล่าวมีอยู่จริง ซึ่งก็ยังไม่ทราบว่า สิ่งที่พรรคเพื่อไทยกระทำทั้งหมดนั้น คือต้องการอะไร เพราะทุกอย่างเปลี่ยนไป เปลี่ยนมา ไปหมด จนมีนักข่าวไปถาม นายชัยเกษม สุดท้ายนายชัยเกษม บอกว่าไม่รู้เรื่อง ไม่เคยมีใครแจ้ง และก็พูดออกมาประโยคหนึ่งที่ว่า "ผมก็เป็นตุ๊กตาตัวหนึ่ง"

ซึ่งตนเองคิดว่า คนที่ทราบอนาคตดีที่สุดคือ นายชัยเกษม เพราะพรรคเพื่อไทย อยากให้มีการเลือก นายชัยเกษมฯ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่นายชัยเกษมฯ ต่างหาก ที่ไม่อยากเลือกตัวเอง เพราะไม่อยากตระบัดสัตย์ในวันข้างหน้า เพราะหากได้คะแนนเสียงจนเป็นนายกรัฐมนตรีขึ้นมาจริงๆ หากไม่ยุบสภาตามที่พูดไว้ คนที่จะเสีย ก็คือนายชัยเกษมฯ จึงพยายามแสดงออกมาโดยตลอด ว่าไม่อยากไปสู่จุดดังกล่าว

ขอยืนยันว่าพรรคประชาชนไม่มีใครเป็นเจ้าของพรรคเพียงคนเดียว และทุกคนร่วมกันสร้างพรรคขึ้นมา การตัดสินใจที่ได้มีการตัดสินใจไปแล้ว ผ่านการพิจารณาหารือถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อน ใน 5 วงคือ

1. การรับฟังความคิดเห็นของสมาชิก

2. การรับฟังความคิดเห็นของผู้ปฏิบัติงานทั้ง 77 จังหวัด

3. การรับฟังความเห็นของพนักงานพรรคฯ

4. การรับฟังความคิดเห็นของ สส.

5. และสุดท้าย คือ ความคิดเห็นของ กรรมการบริหารพรรค

ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องใหญ่ของประเทศ และผ่านกระบวนการหารือมาหลายวัน จนนำไปสู่การตัดสินใจลงนามกับพรรคภูมิใจไทยเป็นที่เรียบร้อย จนกระทั่งพรุ่งนี้จะโหวตนายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว การที่พรรคเพื่อไทยออกมาทำแบบนี้ ตนเองอยากถามกลับไปว่าเห็นสิ่งนี้เป็นอนาคตของประเทศ หรือเห็นเป็นเพียง ผักบุ้ง 3 กำ 20 บาท พอตลาดจะวายลดราคากลายเป็น 4 กำ 20 บาท และทำให้ประชาชนแตกตื่นเป็นจำนวนครั้งนับไม่ถ้วน ให้คิดง่ายๆ ว่า 48 ชั่วโมงที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยพูดกลับไปกลับมา เรื่องยุบสภา แล้วกี่ครั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ตราบใดที่อำนาจยังไม่หลุดออกจากมือ พรรคเพื่อไทย ก็จะไม่ยอมยุบสภา แต่วันนี้พอรู้แล้วว่าอำนาจหลุดจากมือ และ นายอนุทิน กำลังจะได้อกนาจไป จึงพยายามทำทุกทาง เพื่อเตะตัดขา

ชูวิทย์โพสต์ ปชน.เชื่อใจ ภท. เกินไป ปล่อยเสือออกจากกรง พร้อมย้ำว่า รอดูได้เลย เรื่องนี้ จะส่งผลให้พรรคประชาชนเสียคะแนนมหาศาล ที่กล้าเอาเนื้อสดไปฝากไว้กับเสือหิว?

น.ส.พรรณิการ์ เผยว่า เรื่องดังกล่าวมีกลไกเพื่อป้องกันการเบี้ยว ของพรรคภูมิใจไทยอยู่แล้ว นั่นก็คือการทำให้รัฐบาลของภูมิใจไทยเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ขอยืนยันว่า คนที่จะปล่อยเสือออกจากกรง จริงๆ คือพรรคเพื่อไทย เพราะพรรคเพื่อไทยประกาศว่า เมื่อไหร่ที่นายอนุทินได้นั่งนายกรัฐมนตรี จะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ภายใน 15 วัน ซึ่งกลไกลของ พรรคประชาชน หาก 4 เดือนแล้วนายอนุทินฯ ยังไม่ยุบสภา และเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยหากพรรคประชาชนเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็สามารถล้มนายอนุทินได้ และพรรคเพื่อไทยก็จะต้องร่วมด้วย หากเห็นต่อประโยชน์ของประเทศชาติ ไม่ได้เห็นต่อความแค้นส่วนตัว

สส.พรรคประชาชน บางราย เกรงว่าจะตกเป็นเครื่องมือนิติสงคราม ขอผู้บริหารพรรคทบทวน การโหวต อนุทิน?

น.ส.พรรณิการ์ วานิช หรือ ช่อ พรรณิการ์ แกนนำคณะก้าวหน้า เผยว่า เรื่องนี้ยอมรับว่าเป็นกังวลอยู่แล้ว ตั้งแต่เมื่อวานที่มีคนไปยื่นร้องนายภูมิธรรมเรื่อง 157 และ 112 โดยเฉพาะมาตรา 112 ตนเองมองว่าเป็นการร้องที่เลอะเทอะ ซึ่งก็ได้มีการแสดงความไม่เห็นด้วยไปแล้ว และพรรคภูมิใจไทยรวมถึงพรรคประชาธิปไตยใหม่ก็ได้มีการดำเนินการถอนแจ้งความแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ใน MOA แต่เป็นการร้องขอ อย่างตรงไปตรงมาจากพรรคประชาชนว่าทำแบบนี้ไม่ถูกต้อง และอำนาจยุบสภา เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี และรักษาการนายกรัฐมนตรีซึ่งสามารถทำได้ และยังคงยืนยันว่าการยุบสภาเป็นสิ่งที่พรรคประชาชนต้องการมากที่สุด

พร้อมพงษ์ แฉ มีดีลลับ ปชน. โหวตอนุทิน เรื่องนี้ มีจริงไหม?

น.ส.พรรณิการ์ เผยว่า เรื่องนี้เป็นการอยู่ๆก็พูดขึ้นมาโดยไม่มีมูลใดๆ ทั้งสิ้น หากวันหนึ่ง 44 สส.หลุดจากตำแหน่ง ก็จะบอกว่าถูกหักดิล แต่หาก 44 สส.รอดจากคดี ก็จะบอกว่า ดิลกันจริง

ซึ่ง 44 สส. ที่โดน คือผิดจริยธรรมร้ายแรงและโทษคือตัดสิทธิ์ทางการเมือง ตลอดชีวิตเหมือนกับตนเอง เพราะ 44 สส. ยื่นเสนอขอแก้ไขกฎหมาย มาตรา 112 ตามกระบวนการทางรัฐสภา ซึ่งถือว่าเรื่องดังกล่าว เป็นการ ใส่ร้ายป้ายสีกันแบบลอยๆ โดยที่ไม่มีข้อมูลหลักฐานใดๆ ทำให้กลายเป็นว่าหาก 44 สส. รอดก็จะกล่าวหาว่ามีการดิ กันจริง แต่หัก 44 สส.ไม่รอด ก็จะถูกกล่าวหาว่าล้มดิล

ศุกร์นี้โหวตนายกฯ จะราบรื่นไหม จะมีใครเล่นเกมเตะถ่วงไหม และ ยังจะมีอะไรที่น่าวิตกกังวลอีกไหม?

น.ส.พรรณิการ์ เผยว่า กังวลว่าพรรคเพื่อไทยจะเล่นเกมอะไรอีก ซึ่งพรรคประชาชนแสดงจุดยืนชัดเจนว่าต้องการการยุบสภา และการที่จำเป็นต้องมาโหวตเลือก นายอนุทิน ในวันนี้ ไม่ใช่สิ่งที่พรรคประชาชนอยากเลือกแต่ต้องทำ เพราะต้องการหานายกฯ ไปยุบสภา เพราะทางพรรคเพื่อไทยไม่ยอมยุบสภา แต่หากสุดท้ายแล้วนายอนุทินได้เป็นนายก และ 4 เดือนไม่มีการยุบสภา พรรคเพื่อไทย ก็ต้องมาช่วยกันขับไล่ เพื่อประเทศชาติหากคิดถึงประเทศชาติและประชาชนจริงๆ

ส่วนวันพรุ่งนี้ กระบวนการโหวตนายกรัฐมนตรีจะต้องราบรื่น ซึ่งการที่พรรคเพื่อไทย ส่งแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและยอมรับในการยื่นมติวตนายกรัฐมนตรีแสดงให้เห็นว่าเรื่องยุบสภาไม่มีแล้ว และจะต้องไปสู่กระบวนการการโหวตนายกรัฐมนตรี

ซึ่งตนเองตั้งข้อสังเกตว่าพรรคเพื่อไทย กำลังจะทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้ยื้อไปจนถึงวันที่ 9 ก.ย. นี้ ซึ่งเป็นวันที่ตัดสินชั้น 14 หรือไม่ ซึ่งส่วนตัวมองว่า เรื่องนี้ต้องติดตามดูแต่จากการพิจารณาคดีของศาล ดูแล้วกระบวนการตัดสินจะเป็นโทษต่อคุณทักษิณ ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นคดีส่วนตัวของคุณทักษิณไม่ควรจะเอาอนาคตของประเทศชาติมาเกี่ยวข้องกับคนคนเดียว