วันที่ 18 ส.ค. 68 รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ เปิดเผยถึงกรณีสถานการณ์ไทย-กัมพูชาว่า สิ่งที่รัฐบาลควรจะเร่งทำเพื่อชิงความได้เปรียบมีอยู่ 2 เรื่อง คือ
1. การให้มีจุดยึดโยงด้านการแถลงข่าวให้ชัดเจน เพียงแค่จุดเดียว เพราะตอนนี้ยังคงมีการแถลงข่าวหลายจุด และแยกย่อย กระจัดกระจายจนเกินไป ในขณะที่กัมพูชาเป็นระบบเดียว
2. การนำเอากลไกที่ตกลงกันในเวทีสันติภาพ GBC ที่มีการลงนามในกระดาษ 2 แผ่นในวันที่ 7 ส.ค. 68 ซึ่งมีทั้งหมด 13 ข้อไปบังคับกัมพูชาในพื้นที่ให้ได้ ยกตัวอย่างเช่น ในสัปดาห์ที่จะมาถึงนี้ ขณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวจะต้องลงพื้นที่ที่มีทุ่นระเบิดและไปดูว่าจะมีการเก็บกู้กันอย่างไร เราสามารถใช้ช่วงที่คณะผู้สังเกตการณ์ IOT อยู่ตรงนั้นเป็นโอกาสในการกู้ทุ่นระเบิดได้ดีขึ้น และไม่ต้องกังวลกับการลอบโจมตีของทางกัมพูชา
รศ.ดร.ปณิธาน กล่าวต่อว่า หากทำได้เราก็จะสามารถเริ่มบังคับให้เป็นจริงได้ แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่มีใครบังคับได้ เราอาจจะต้องทำเองโดยเข้าไปกู้ทุ่นระเบิด ซึ่งอาจจะมีความเสี่ยงต่อการที่กัมพูชาจะโจมตีเข้ามา ทำให้เราต้องโจมตีกลับไป และจะเริ่มการปะทะขึ้นมาอีกครั้ง ขณะเดียวกันเราก็ต้องทำต่อยอดต่อไป ในการที่จะต้องบังคับให้กัมพูชามาคุยกับเราตามข้อตกลงต่างๆ เพื่อให้ข้อตกลงทั้ง 13 ข้อนั้นเกิดขึ้นจริง เพราะตอนนี้ยังเรียกได้ว่าเป็น “สันติภาพบนแผ่นกระดาษโต๊ะเจรจา” โดยแท้ ถ้านำข้อตกลงมาบังคับได้ตนเชื่อว่าสันติภาพก็จะกลับมา
ขณะเดียวกันที่ผ่านมาหลายครั้งในการนำคณะต่างๆ ลงพื้นที่ กัมพูชามักจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน รวมถึงไทยเราเองก็ไม่มีความต่อเนื่องในการติดตามงาน อย่างกรณีของญี่ปุ่น ซึ่งทางกัมพูชาพาลงพื้นที่ไปแล้วรู้สึกขวัญเสียมากกับการสูญเสีย จนนำมาสู่การให้เงินช่วยเหลือกับทางกัมพูชา ทั้งที่จริงแล้วประเทศไทยควรจะตามไปดูคนเหล่านี้หลังจากเขาได้ลงพื้นที่ว่าได้มีการรายงานอะไรไปยังต้นสังกัด เราต้องส่งข้อมูลเพิ่มเติมให้เขา ติดตามว่าเขามีนโยบายอะไรออกมาบ้างหรือไม่ในเรื่องนี้ ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการรบแทบทั้งสิ้น
หากเราไปดูแล้ว สามารถที่จะกดดันและขอความร่วมมือได้สถานการณ์ก็จะดีขึ้น เพราะทางกัมพูชาก็จะไม่มีปัจจัยอะไรมาเกื้อหนุน
รศ.ดร.ปณิธาน กล่าวว่า ในขณะเดียวกันก็ไม่ง่ายเลย เพราะว่าทุกประเทศต่างก็อยากได้ผลประโยชน์ต่างตอบแทน และทุกประเทศต่างก็เลือกข้างไปแล้ว แม้กระทั่งเพื่อนของเราที่เคยอยู่ข้างเราก็ไม่ค่อยจะชัดเจนว่าจะช่วยอะไร เป็นผลมาจากการที่เราไม่ชัดเจนมาตั้งแต่แรก ในขณะที่เขาต้องการให้เราช่วยเหลือ และเลือกข้างแต่เราก็ไม่ทำ เพราะเราวางนโยบายเป็นกลางมาตั้งนานแล้ว ในวงเล็บว่าไม่ยุ่งกับใคร
ตอนนี้ก็เลยไม่มีใครมายุ่งกับเรา ซึ่งเป็นบทเรียนกับการต่างประเทศของไทยว่า ต่อไปต้องมีสมัครพรรคพวกบ้างและให้มากกว่านี้ ข้อดีของเราคือการที่มีศัตรูน้อย และไม่เป็นภัยกับใคร เพราะเราไม่ยุ่งกับใคร แต่ตอนนี้เมื่อ เกิดสถานการณ์กับกัมพูชา ก็ไม่มีใครมาช่วยเราเท่าไหร่ เพราะเราไม่ค่อยคบใคร ไม่อยากยุ่งกับใคร และถูกมองว่าไม่ค่อยจริงใจกับใคร
เมื่อสอบถามว่าหลังจากนี้ไทยควรจะเดินหน้าอย่างไร รศ.ดร.ปณิธาน ระบุว่า สำหรับการประชุมทั้งหลาย เป็นการประชุมเชิงการทูตการวางแผนและบริหารจัดการ ในขณะเดียวกันการบริหารจัดการของทางกองทัพภาคที่1 ก็อาจจะดีกว่าทางกองทัพภาคที่2 เพราะสถานการณ์ที่แปรปรวนกว่า
ซึ่งการบริหารจัดการตอนนี้ หมายความว่า เราอาจจะต้องเดินหน้าเรื่องการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้มากขึ้น โดยอาจจะขอความร่วมมือจากบางประเทศ อย่างเช่นประเทศจีน ซึ่งมีความสนใจและตั้งใจในเรื่องนี้อย่างมากให้เข้ามาร่วมในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือหากจะให้กว่านั้นคือการเชิญประเทศอื่นๆมาร่วมด้วย เพราะแก๊งนี้สร้างความเสียหายไปทั่วโลก
หากจะให้ง่ายไปกว่านั้น ก็ไม่จำเป็นต้องเชิญประเทศใดเลยก็ได้ แต่หันมาปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ฝั่งตัวอยู่ในประเทศไทย มีทั้งลูกหลาน บริษัทนายหน้า และเครือข่าย ซึ่งเป็นท่อน้ำเลี้ยงของกัมพูชาและเส้นทางการเมืองทั้งหมด เมื่อถึงเวลานั้นกัมพูชาจะยอมมามาคุยกับเราว่าเราจะพาดพิงหรือไม่พาดพิงถึงใครในรัฐบาลของกัมพูชา นี่จึงเป็นการกดดันกัมพูชาอย่างแท้จริง
Advertisement