วันที่ 7 ส.ค.68 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ได้กล่าวถึงกรณีที่มีการประชุม GBC ในวันนี้ โดยระบุว่า เราไม่มีสิทธิ์ที่จะประมาทได้ การเจรจาหยุดยิงในครั้งก่อนทำให้เราชนะมา 10 จุด และเสียหายไป 1 จุดที่ปราสาทตาควาย ซึ่งเกิดจากการเจรจานั้นไม่ได้สอบถามกับทางกองทัพว่าเรียบร้อยแล้วหรือยัง รวมถึงรองนายกฯภูมิธรรม ที่มีการเลือกเจรจาในวันสำคัญของชาติ ทำให้เกิดจุดที่เป็นปัญหาที่ประสาทตาควาย
การชนะ 10 แพ้ 1 เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น หากเราสามารถที่จะขยายเวลาออกไปเพื่อจะปิดเกมที่ตาควายได้ แต่นี่เป็นความบกพร่องของรักษาการนายกฯ ที่ไปเจรจาอย่างยากที่จะให้อภัย
ส่วนการเจรจา GBC ในวันนี้ ตนมองว่าเป็นเรื่องของข้อตกลง ซึ่งเป็นการพูดคุยกันในเชิงพิธีกรรมและเป็นคำพูดที่สวยงาม เหมือนกับตอนทำ MOU43 และ MOU44 ซึ่งจะมีการคุยกันในเรื่องของการหยุดยิง การไม่เคลื่อนย้ายกำลังพล แต่ที่ผ่านมาก็เห็นแล้วว่าไม่ได้ปฏิบัติตามนั้น
ในขณะที่ตอนทำ MOU44 กัมพูชาเองก็มีการละเมิดข้อตกลงกว่า 600 ครั้ง ดังนั้นถึงแม้จะเป็นคำสัญญาและข้อตกลงที่ดี “แต่ก็เป็นคำสัญญาที่ว่างเปล่า พร้อมจะฉีกได้ตลอดเวลา” ดังนั้นไม่ว่ามติจะแถลงออกมาเป็นอย่างไรก็ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นไปตามนั้น
ตนเชื่อว่าทางกองทัพไทยเองก็น่าจะมีบทเรียน เพราะหากเราไปเชื่อตามเราก็จะไม่ได้มีการเตรียมรับมือ เหมือนกรณีที่คุณทักษิณ บอกว่าจะไม่มีสงครามและไม่มีการรบโดยเด็ดขาด แต่หากกองทัพไม่ได้เตรียมความพร้อมไว้ วันนี้เราจะตกอยู่ในสถานการณ์แบบใด
ตนมองว่าอย่างไรก็ตาม กัมพูชายังคงดำรงความมุ่งหมายในการสร้างกระแสชาตินิยมเพื่อรักษาอำนาจ ในขณะที่การเมืองฝั่งเราทั้งในเรื่องของข้อมูลข่าวสารแทบจะตามหลัง ยังดีที่ทางทหารของเรายังเท่าทันและประชาชนยังมีความพร้อม
นายจตุพร ยังได้เปิดเผยกรณีที่ตำรวจได้มีการจับกุมตัวชายชาวกัมพูชา ซึ่งเป็นทหาร BHQ นั้น ว่า จากลักษณะที่ดูชายชาวกัมพูชาคนดังกล่าวมีเสื้อผ้าทหารจำนวนหลายตัว ซึ่งก็เป็นอะไรค่อนข้างแปลก แล้วก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับเขาด้วย อย่างไรก็ตามการตรวจพบข้อสงสัยนี้ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี เพื่อที่เราจะได้ตรวจสอบให้ชัดเจน ว่าเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่ หากเป็นเรื่องจริงก็ต้องสืบลึกไปถึงเรื่องของจำนวนและภารกิจที่ได้รับมอบหมาย
ส่วนโอกาสเป็นไปได้หรือไม่นั้น ในอดีตสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เคยมีชาวญี่ปุ่นเข้าประเทศมาด้วยความเป็นหมอฟันและค้าขาย ปรากฎว่าเมื่อทหารญี่ปุ่นเข้ามา คนเหล่านี้ก็เปลี่ยนไปใส่ชุดทหาร ซึ่งโอกาสที่ทหาร BHQ จะเข้ามาแฝงตัวนั้น เราก็ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงออกมาให้ได้ เพราะทุกวันนี้เราก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เนื่องจากคนกัมพูชาเองก็มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกันกับคนไทย
อีกทั้งจากปรากฏการณ์เรื่องโดรน ซึ่งขึ้นไปตามจุดต่างๆที่ไม่น่าจะมาจากฝั่งกัมพูชา เพราะต้องใช้ระยะเวลาเดินทาง และอาจเกิดจากฝีมือไส้ศึกที่เป็นคนไทยหรือกัมพูชาที่อยู่ในประเทศ ตนจึงคิดว่าทางตำรวจและกองทัพจะต้องดำเนินการพิสูจน์ข้อเท็จจริงโดยเร็ว เพราะไม่ทราบว่าสถานการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
สำหรับทหาร BHQ นั้น เป็นทหารที่เหมือนกับองครักษ์ของสมเด็จฮุนเซน เป็นกองกำลังที่มีภารกิจเฉพาะและมีประสิทธิภาพสูงเมื่อเทียบกับกองทัพแห่งชาติ
ตนเคยมีโอกาสได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับสมเด็จฮุนเซนโดยตรงเกี่ยวกับทหาร BHQ เหล่านี้ว่ามีไว้เพื่ออะไร ซึ่งสมเด็จฮุนเซน เล่าว่า ครั้งหนึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยชวนไปกินข้าวที่บ้าน แล้วก็จับตัวเขาเพื่อที่จะยึดอำนาจ กองกำลังที่ติดตัวเขาตอนนั้นยังไม่เป็นระบบมากเท่าไหร่ ก็ปฏิบัติการช่วยเขาออกมาได้ ดังนั้นการครองอำนาจที่ยาวนานจึงจำเป็นต้องมีองครักษ์ส่วนตัว
ส่วนกองทัพแห่งชาติ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า มีฮุนมาเนตและฮุนมานี ได้รับมอบหมายภารกิจให้ไปดูแลกองทัพเหล่านี้ แม้ว่าจะมีลูกชายของพลเอกเตียบัน มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็ตาม แต่คุณมาเนต และฮุนมานี ยังคงมีบทบาทในกองทัพชาติสูง ส่วนกองทัพส่วนตัวก็เป็นมิตรร่วมรบในอดีตที่เข้ามาดูแลเป็นส่วนใหญ่
ส่วนกรณีที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย รักษาการแทนนายกรัฐมนตรี มีคำสั่งย้ายด่วน ว่าที่ พ.ต.อดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี โดยให้มาช่วยราชการที่กระทรวงมหาดไทยนั้น
นายจตุพร ได้พูดถึงประเด็นนี้ว่า ปัญหาคือว่าคุณภูมิธรรม ได้มีการสอบถามไปยังผู้ว่าฯ จังหวัดอุบลราชธานีแล้วหรือไม่ ว่ามีสาเหตุอะไรจึงมีการเบิกงบไปเพียง 55,000 บาท เพราะเป็นความทุกข์ซึ่งหน้าของราษฎร ซึ่งก็ต้องถามปัจจัยว่ามีอะไรหรือมีคนการเมืองเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือไม่
ในส่วนการสั่งการย้ายนั้น ในระดับรัฐมนตรีก็สามารถที่จะสั่งการได้อยู่แล้ว แทนที่จะมีการสั่งย้ายผ่านการสัมภาษณ์ทางสื่อ แม้ว่าจะมีหนังสือราชการตามหลังมาก็ตาม หรืออาจจะต้องมีการยกหูไปสอบถามข้อเท็จจริงว่ามันมีอะไร และหากมีการสั่งการลงมาแล้วยังเหมือนเดิมก็ไม่มีใครจะว่าอะไร หากท่านยังยืนยันจะสั่งย้ายหรือทำอะไรแบบนี้ แต่ท่านมาพร้อมกับพระเดชเป็นส่วนใหญ่ โดนมาแล้วหลายระดับตั้งแต่อธิบดีหลายกรม จนมาถึงคิวของผู้ว่าฯ
พระเดชอาจจะสร้างความกลัวให้กับคนได้ แต่มันจะมาพร้อมกับความเกลียดชัง อย่างไรก็ตาม ตนก็มองว่าอายุของรัฐบาลก็คงไม่ไม่นาน เพราะฉะนั้นก็ต้องน่ากลัวเอาไว้ เพื่อที่จะให้ข้าราชการเขาได้ปฏิบัติตาม แต่กรณีนี้มันแปลกประหลาดและผิดธรรมชาติ
ในขณะเดียวกันผู้ว่าฯซึ่งถูกย้ายเข้าไปประจำแล้วก็ควรจะพูดความจริง เพราะว่าเงินมันไม่ใช่สมบัติของเขา การที่ไม่เบิกจ่ายก็ยังคงเป็นของแผ่นดินอยู่ แต่ว่าปัญหาอะไรที่ไม่เบิกจ่ายนั้นเราก็ควรจะรับฟังว่ามันเกิดจากอะไร
เมื่อสอบถามว่ามองว่า เป็นการงัดข้อกันระหว่าง 2 พรรคการเมืองหรือไม่นั้น นายจตุพร ตอบว่า เป็นการตามล้างตามเช็ดกันก็เห็นกันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นหยุดคิดกันเรื่องของข้าราชการพวกเขาพวกเรา แล้วก็ปฏิบัติแบบล้างบางกัน แทนที่จะเป็นการขอความร่วมมือ
เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามกรณีที่ดูเหมือนการเมืองจะมีการงัดข้อกันอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ชายแดนที่ยังระอุนั้น จะส่งผลกระทบอะไรกับภาพลักษณ์ของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายจตุพร ระบุว่า ตนว่ามันไม่เหลือภาพลักษณ์อะไรแล้วเพราะขนาดที่ยังมีสงครามก็ยังมีหน้า ไปอนุมัติเรื่องไพ่โป๊กเกอร์อยู่ และยังมีหน้ามาเรียกร้องความสามัคคี ทั้งที่มีการปฏิบัติแบบล้างแค้นต่อกัน
นายจตุพร บอกอีกว่า “ผมไม่ได้คาดหวังหรือเรียกร้องอะไรกับเขา เพราะว่าเขาก็ทำได้แค่นี้ แต่ว่าเรื่อง รักชาติบ้านเมืองนั้น ทุกอย่างมันเสียเปรียบทุกประเด็น ตนก็รอวันที่เขาจะไป และวาดหวังผู้ที่มาใหม่จะเป็นผู้ที่ใช้ได้“
Advertisement