วันที่ 4 ส.ค. นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงผลบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ณ กระทรวงการต่างประเทศ โดยนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
นายนิกรเดช กล่าวว่าการบรรยายสรุปดังกล่าว เป็นกิจกรรมที่จัดอย่างต่อเนื่อง โดยเชิญผู้แทนองค์การระหว่างประเทศในไทยมาฟัง เนื่องจากมีมิติเรื่องการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศของฝ่ายกัมพูชาเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อชี้แจงการดำเนินการและท่าทีของไทยต่อสถานการณ์ดังกล่าว รวมถึงพัฒนาการที่สำคัญ โดยเฉพาะหลังจากที่กัมพูชาเปิดฉากโจมตีวันแรกเมื่อวันที่ 24 ก.ค.68 และการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงในการประชุมสมัยพิเศษที่มาเลเซียเมื่อวันที่ 28 ก.ค.68
แต่หลังจากนั้นเรายังพบกันละเมิดข้อตกลงของฝ่ายกัมพูชาหลายครั้งในพื้นที่ของไทย ขณะเดียวกันกัมพูชายังละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และอนุสัญญาอีกหลายฉบับ สำหรับการบรรยายสรุปวันนี้ มีผู้เข้าร่วมรับฟัง ประกอบด้วย เอกอัครราชทูตและผู้แทนจาก 74 ประเทศ 1 องค์กร และ 16 องค์การระหว่างประเทศ รวมทั้งสิ้น 121 คน
ทั้งนี้ นายมาริษ ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการจัดบรรยายสรุป ระบุว่าต้องการชี้แจงให้ประชาคมโลกทราบความจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมชี้แจงท่าทีไทยเกี่ยวกับการประชุมสมัยพิเศษเมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งนำมาสู่ข้อตกลงหยุดยิง ย้ำว่าความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา เป็นสิ่งที่ไทยไม่ได้ต้องการ น่าเสียดายที่กัมพูชาเป็นผู้เริ่มต้นความขัดแย้งนี้ก่อน
รมต.กต กล่าวสรุป 13 ข้อ ดังนี้
1. ขอสวัสดีท่านเอกอัครราชทูต และสมาชิกคณะทูตทุกท่าน และขอขอบคุณที่มาร่วมรับฟังการบรรยายสรุปในวันนี้ วัตถุประสงค์ของการบรรยายสรุปนี้คือเพื่อให้ข้อมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และเพื่อชี้แจงถึงแนวทางการดำเนินงานของไทยต่อไป
2. ผมขอแบ่งการบรรยายสรุปออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือท่าทีของไทยต่อการประชุมพิเศษที่กรุงปุตราจายา และส่วนที่สองคือการดำเนินการอย่างจริงจังของไทยในการประท้วงต่อการกระทำละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศโดยกองทัพกัมพูชา รวมถึงการโจมตีเป้าหมายพลเรือนโดยไม่เลือกเป้าหมาย และการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งเป็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวาอย่างชัดแจน ทั้งนี้ ผมจะขอให้เจ้าหน้าที่ช่วยรายงานในส่วนที่สอง
3. เกี่ยวกับการประชุมพิเศษที่กรุงปุตราจายา ไทยถือว่าการประชุมดังกล่าวเป็นการหารือทวิภาคีระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยมีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนให้การสนับสนุน ซึ่งไทยขอชื่นชมอย่างยิ่ง ทั้งนี้ การประชุมยังมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้จัดร่วม และจีนเข้าร่วมในฐานะผู้สังเกตการณ์
4. หลังจากเหตุการณ์การปะทะอย่างรุนแรงตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ผมเห็นว่าการที่ทั้งสองฝ่ายสามารถมาพบหารือกันได้ ถือเป็นสัญญาณที่ดี
5. ข้อตกลงหยุดยิงที่ทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงร่วมกันได้ ถือเป็นก้าวสำคัญอันดับแรกที่จะช่วยยุติความสูญเสีย และเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นต่อการลดความตึงเครียด และเปิดทางสู่การเจรจาเพื่อหาข้อยุติอย่างถาวร
6. ผมขอย้ำอย่างชัดเจนว่า ประเทศไทยจะปฏิบัติตามข้อตกลงที่ได้ตกลงกันในปุตราจายาอย่างเคร่งครัด และผมคาดหวังที่จะเห็นความมุ่งมั่นของฝ่ายกัมพูชาที่จะดำเนินการด้วยความจริงใจและสุจริตใจ เพื่อขับเคลื่อนการเจรจาให้ก้าวหน้า
7. ตามถ้อยแถลงร่วม ฝ่ายกัมพูชาได้ตกลงที่จะกลับมาใช้กลไกการหารือทวิภาคี ซึ่งเป็นสิ่งที่ไทยได้ยืนยันและเรียกร้องมาโดยตลอด ทั้งนี้ การหารือระหว่างผู้บัญชาการกองทัพในระดับภูมิภาคของทั้งสองฝ่ายได้เริ่มขึ้นแล้วตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคม เพื่อกำหนดมาตรการเร่งด่วนในการลดความตึงเครียด และการหารือจะดำเนินต่อไป
8. การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ซึ่งเป็นกลไกทวิภาคีในระดับนโยบายและมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของทั้งสองฝ่ายเป็นประธานร่วม จะจัดขึ้นที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ระหว่างวันที่ 4 – 7 สิงหาคม 2568 เพื่อหารือรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อให้ข้อตกลงหยุดยิงมีผลในทางปฏิบัติ
9. ทั้งสองฝ่ายยังได้ตกลงที่จะรื้อฟื้นการติดต่อสื่อสารโดยตรงระหว่างนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการป้องกันความเข้าใจผิด และสนับสนุนความพยายามลดความตึงเครียด
10. มาเลเซีย ไทย และกัมพูชา จะหารือร่วมกันเพื่อกำหนดมาตรการตรวจสอบและติดตามการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง โดยภารกิจของคณะผู้สังเกตการณ์จะนำโดยอาเซียนเป็นหลัก ทั้งนี้ ไทยยินดีต่อการสนับสนุนจากประเทศมิตรอื่น ๆ
11. ผมขอใช้โอกาสนี้ย้ำอีกครั้งถึงจุดยืนของไทยว่า ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาเป็นเรื่องทวิภาคี และไทยไม่เห็นชอบต่อความพยายามใด ๆ ที่จะทำให้สถานการณ์นี้กลายเป็นประเด็นระหว่างประเทศ ไทยได้ยืนยันในหลายโอกาสว่าไม่ยอมรับเขตอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) และประสงค์ให้ข้อพิพาทนี้ได้รับการแก้ไขผ่านการเจรจาทวิภาคีภายใต้กรอบที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
12. ผมขอยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะหาทางออกอย่างสันติและถาวรต่อข้อพิพาทวิภาคีนี้ โดยสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ กฎบัตรอาเซียน และกฎบัตรสหประชาชาติ พร้อมเรียกร้องให้กัมพูชาเจรจาอย่างสันติด้วยความจริงใจและสุจริตใจ และหลีกเลี่ยงการกระทำยั่วยุทุกชนิด รวมถึงการบิดเบือนข้อมูลและการปฏิบัติการด้านข้อมูลข่าวสาร (IO) ซึ่งจะยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง
13. สุดท้ายและสำคัญที่สุด ผมขอย้ำว่านี่เป็นสถานการณ์ที่น่าโศกเศร้าอย่างยิ่ง ประเทศไทยไม่ได้เป็นผู้เริ่มต้นความขัดแย้งนี้ และขอย้ำว่าความขัดแย้งกับกัมพูชาไม่ได้อยู่ในผลประโยชน์ของประเทศไทย
ขอบคุณครับ และต่อจากนี้ ผมขอเรียนเชิญท่านอธิบดีปิยภักดิ์ เพื่อรายงานพัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ตามด้วยท่านอธิบดีพินทุ์สุดาฯ เพื่อบรรยายเกี่ยวกับการดำเนินการของไทยต่อการละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศของกัมพูชา
จากนั้นนายปิยภักดิ์ ศรีเจริญ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก ได้ให้ภาพรวมลำดับเหตุการณ์สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ตั้งแต่ก่อนเหตุการณ์ปะทะหรือก่อนวันที่ 28 พ.ค.จนถึงปัจจุบัน และอนาคตที่จะมีการจัดประชุมการประชุมของคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (GBC) และคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) พร้อมชี้แจงจุดยืนของไทยที่ต้องการลดความตึงเครียด และคลี่คลายสถานการณ์
ส่วนนางสาวพินทุ์สุดา ชัยนาม อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการละเมิดอนุสัญญาระหว่างประเทศ และกฎหมายสิทธิมนุษยชนและมนุษยธรรมระหว่างประเทศ รวมถึงการบิดเบือนข้อมูลของกัมพูชาในเวทีระหว่างประเทศ ตลอดจนการชี้แจงการนำเสนอข้อเท็จจริงและการประท้วงของไทยต่อกรณีข้างต้น
นายนิกรเดช ยังสรุปสาระสำคัญการบรรยายสรุป ออกเป็น 9 ข้อ ดังนี้
1.ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความรับผิดชอบต่อประชาคมระหว่างประเทศ ยึดมั่นสันติภาพ กฎหมายระหว่างประเทศ หลักการสากล และมุ่งมั่นที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับกัมพูชาในฐานะเพื่อนบ้านที่ดี แต่เป็นที่น่าเสียดายความมุ่งหวังดังกล่าวไม่ได้รับการตอบสนองที่ดีจากกัมพูชา ตั้งแต่ช่วงต้นปีฝ่ายกัมพูชาดำเนินการยั่วยุไทยหลายครั้ง อีกทั้งยังเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีไทย และละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศหลายกรณี
2.ฝ่ายไทยมีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่บ่งชี้ว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มต้นโจมตีไทยก่อน และโจมตีอย่างไม่เลือกเป้าหมายส่งผลให้สถานที่พลเรือน ทั้งปั๊มน้ำมัน ร้านสะดวกซื้อ โรงพยาบาล โรงเรียนได้รับความเสียหายทำให้พลเรือน เด็กบริสุทธิ์ต้องเสียชีวิตและบาดเจ็บ ชาวบ้านนับแสนคนต้องอพยพไปอยู่ในสถานที่พักพิงชั่วคราว สิ่งเหล่านี้ทูตและผู้ช่วยทูตทหารที่ได้ลงพื้นที่เมื่อวันที่ 1 ส.ค.68 รวมถึงสื่อมวลชนได้เห็นด้วยตาของตนเอง
3.การตอบโต้ของไทยเป็นการใช้สิทธิ์ในการป้องกันตนเองโดยชอบธรรมตามมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติเพื่อปกป้องอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน นอกจากนี้การปฏิบัติการทหารของไทยได้ผ่านการไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว มีการตอบโต้อย่างได้สัดส่วน ตั้งอยู่บนพื้นฐานหลักกฏหมายระหว่างประเทศที่สำคัญ เรามุ่งเป้าไปที่เป้าหมายทางทหารกัมพูชาเท่านั้น จึงไม่ถือเป็นการรุกราน
4.การโจมตีอย่างไม่เลือกเป้าหมายของกัมพูชาต่อพลเรือนและสถานที่สาธารณะเป็นการรุกรานอย่างชัดเจน เป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 1 และฉบับที่ 4 รวมถึงตราสารระหว่างประเทศ เช่น อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กอนุสัญญา อนุสัญญาว่าด้วยขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีทุกรูปแบบ และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิของคนพิการ นอกจากนี้การวางแผนระเบิดสังหารบุคคลของฝ่ายกัมพูชาถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวา ไทยขอประณามอย่างรุนแรงที่สุด
5. ไทยปฏิเสธข้อกล่าวหาของกัมพูชาที่ไม่มีหลักฐานรองรับทุกเวทีในทุกประเด็น อาทิ ข้อกล่าวหากองทัพไทยรุกรานและสร้างความเสียหายแก่ปราสาทพระวิหาร ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการคุกคามแรงงานกัมพูชาในประเทศไทย ฝ่ายไทยได้ส่งหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงไปยังองค์กรระหว่างประเทศแล้ว
6. ประเทศไทยชื่นชมบทบาทมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียนที่อำนวยความสะดวกให้เกิดการประชุมสมัยพิเศษ ซึ่งนำไปสู่การบรรลุข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทย-กัมพูชา ขอบคุณสหรัฐอเมริกาและจีนที่มีบทบาทสนับสนุนให้การหยุดยิงเกิดขึ้น อย่างไรก็ดีเป็นที่น่าผิดหวังอย่างยิ่งที่ฝ่ายกัมพูชายังคงละเมิดข้อตกลงหยุดยิงหลายครั้งในหลายพื้นที่ แสดงถึงการขาดความจริงใจของกัมพูชาอย่างชัดเจน ในการนี้ฝ่ายไทยขอเรียกร้องให้กัมพูชาเคารพและปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัด
7. ฝ่ายไทยยังคงมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาโดยสันติวิธีผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ ฝ่ายไทยตั้งใจจะเข้าร่วมกันประชุม GBC ระหว่างวันที่ 4-7 ส.ค.68 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ด้วยความจริงใจและสุจริตใจ เพื่อให้เกิดการบังคับใช้ข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และสร้างกลไกเพื่อทำตามข้อตกลงดังกล่าว
GBC เป็นกลไกระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยหัวหน้าคณะฝ่ายไทยคือ พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม มีการจัดประชุมเตรียมการมาแล้ว 3 ครั้ง โดยคณะเลขานุการของ GBC ฝ่ายไทยได้เดินทางไปแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้ ทั้งนี้มาเลเซีย สหรัฐฯ และจีนได้รับเชิญให้เข้าร่วมสังเกตการณ์ เฉพาะการประชุมวันที่ 7 ส.ค.นี้
8.นอกจากการประชุม GBC แล้ว กลไกทวิภาคีอื่นที่จะมีขึ้นต่อไปคือ JBC ที่ไทยเป็นเจ้าภาพในเดือน ก.ย.นี้ หวังว่ากัมพูชาจะเข้าร่วมด้วยความจริงใจเพื่อหาทางออกร่วมกันในประเด็นเขตแดนที่ยังค้างอยู่
9.ฝ่ายไทยขอเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชายุติการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารที่มีขึ้นแทบจะรายวันกลายเป็นเรื่องปกติ ล่าสุดมีข้อกล่าวหาว่าไทยกำลังอพยพคนออกจากจังหวัดสุรินทร์เมื่อคืนนี้ เพื่อเตรียมการโจมตีกัมพูชาก่อนการประชุม GBC ซึ่งไม่เป็นความจริง การกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้ เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟูการไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน ทำให้ความขัดแย้งขยายตัวไปสู่ประชาชนทั้งสองประเทศ เป็นการบั่นทอนความพยายามที่จะทำให้ความสัมพันธ์กับสู่สภาวะปกติ
นายนิกรเดช ย้ำว่าการนำเสนอข้อมูลของฝ่ายไทยเราเน้นข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ เน้นหลักฐานเชิงประจักษ์ เน้นข้อมูลที่พิสูจน์ตามหลักวิทยาศาสตร์ได้ เราเชื่อว่าการเจรจาจะนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืน เราเชื่อว่าเราต้องใช้ความจริงบนพื้นฐานของความสุจริตใจ เพราะเฟกนิวส์ไม่ช่วยในกรณีเหล่านี้
เมื่อถามว่าการที่เอาคณะทูตทหารไปในพื้นที่ชายแดนทางฝั่งกัมพูชาก็ทำเหมือนกัน ต่างฝ่ายต่างมีชุดข้อมูลของแต่ละฝั่ง เราจะมีตัวชี้วัดอย่างไรบ้าง รวมถึงคณะทูตได้มีข้อกังวลหรือข้อคิดเห็นอย่างไรบ้าง นายนิกรเดช กล่าวว่า ความจริงของเราจะได้รับการยอมรับและสะท้อนโดยประชาคมระหว่างประเทศ เพราะเราใช้หลักฐานเป็นการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ไม่ได้ปั้นเรื่องขึ้นมา เพราะฉะนั้น ตนเชื่อว่าสิ่งที่คณะทูตได้เห็นเมื่อวันที่ 1 ส.ค. ดูจากหลักฐานเชิงประจักษ์ หลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์ เช่น ชนิดของกับระเบิด อาวุธที่ใช้พูด มันพูดได้ว่าใช้อะไร แต่พอเขาไปเห็น มันพิสูจน์ได้ เป็นเรื่องสำคัญ ตนไม่เห็นหลักฐานของการสนับสนุนสิ่งที่กัมพูชาพูด ในขณะที่ฟังเราเห็นหลักฐานชัดเจน ในการสนับสนุนสิ่งที่เราพูด
นายนิกรเดช ยังระบุว่า คณะทูตก็สนใจในสิ่งที่พวกเราสงสัยเช่นเดียวกันว่า GBC จะนำไปสู่อะไร ซึ่งตนได้เรียนไปแล้วว่าจะนำไปสู่การยุติการสู้รบอย่างถาวร ฝ่ายไทยไม่มีจะซ่อน ฝ่ายไทยโปร่งใสมาก และพร้อมเจรจาเรามีความตั้งใจจริง นอกจากนี้ คณะทูตให้ความสนใจมีการซักถามเกี่ยวกับเรื่ององค์ประกอบของผู้ที่จะไปเจรจา เราก็ได้ตอบไปว่าอยู่ภายใต้กระทรวงกลาโหม ซึ่งมีกระทรวงการต่างประเทศต่างประเทศช่วยสนับสนุนข้อมูล ตนคิดว่าการให้พื้นที่เมื่อเช้านี้ค่อนข้างละเอียดถี่ถ้วนมาก
Advertisement