เว็บไซต์สำนักงาน กกต. เผยแพร่คำวินิจฉัยกกต.ยกคำร้องกรณี นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สว. ถูกร้องขณะเป็นผู้มีสิทธิ์เลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับประเทศกลุ่มที่ 4 กลุ่มการสาธารณสุข หมายเลข 76 ว่าลงสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาโดยรู้อยู่แล้ว ว่าตนเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือก เพราะเคยต้องคำพิพากษาศาลจังหวัดขอนแก่น และศาลอุทธรณ์ในคดีอาญาให้ลงโทษจำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล และเคยได้รับโทษจำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึง 10 ปีนับถึงวันเลือกในระดับอำเภอ เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษอันเป็นลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกเป็น สว. ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561 มาตรา 14 (8) และ (9) และมาตรา 74
ส่วนเหตุผลที่ กกต.ยกคำร้อง ระบุว่าข้อเท็จจริงที่ได้จากการไต่สวนรับฟังได้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3228/2563 ลงวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 ปรากฏว่า ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาว่านพ.เปรมศักดิ์ซึ่งเป็นจำเลยที่ 1 ในคดีดังกล่าว มีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญาในความผิดฐานอนาจารและความผิดต่อเสรีภาพ ตามมาตรา 278 (เดิม) มาตรา 281 มาตรา 309 วรรคแรก ลงโทษจำคุก 2 เดือน
ต่อมาศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืน นพ.เปรมศักดิ์ยื่นฎีกา ศาลฎีกามีคำพิพากษาว่า การที่ นพ.เปรมศักดิ์ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายแล้ว เป็นการพยายามบรรเทาความเสียหาย อันพอจะฟังได้ว่า นพ.เปรมศักดิ์ เองก็สำนึกในผลแห่งการกระทำ ถือว่ามีเหตุบรรเทาโทษ จึงให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขัง มีกำหนด 2 เดือน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23
ดังนั้น การที่ นพ.เปรมศักดิ์ ถูกคุมขังที่สถานีตำรวจ 1 วัน จึงมิใช่เป็นการถูกคุมขังโดยหมายของศาล และถือไม่ได้ว่า นพ.เปรมศักดิ์ เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังโดยหมายของศาล และเคยได้รับโทษจำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึงสิบปีนับถึงวันเลือกในระดับอำเภอ เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังไม่ได้ว่านพ.เปรมศักดิ์ กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา 2561 มาตรา 14 (8) และ (9) และมาตรา 74
ทั้งนี้ นพ.เปรมศักดิ์ เคยต้องคดีเกี่ยวกับการบังคับขู่เข็ญให้ผู้สื่อข่าวแก้ผ้าเหตุเกิด ปี 2559 ขณะดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น โดยหลังรับตำแหน่ง สว. ก็ถูกกลุ่มธรรมาภิบาลร้องสอบจริยธรรมจากกรณีดังกล่าว
Advertisement