(26 ก.ค. 2568) นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินถึง จ.อุบลราชธานี เพื่อติดตามการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบไทย-กัมพูชา พร้อมรับฟังปัญหาและให้กำลังใจประชาชนและเจ้าหน้าที่
โดยภารกิจแรก นายทักษิณ เดินทามายังโรงครัว ที่ศูนย์พักพิงซึ่งเป็นของ สส.พรรคเพื่อไทย เพื่อร่วมจัดทำข้าวกล่อง ก่อนจะกระจายไปศูนย์พักพิงประชาชนอีก 4-5 จุด ในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี สำหรับศูนย์พักพิงจุดนี้มีผู้พักพิงจำนวน 379 คน โดยพบว่ามีการติดป้ายไวนิลตั้งแต่บริเวณทางเข้า ข้อความระบุว่า "ศูนย์ช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยการสู้รบ" พร้อมกับมีโลโก้พรรคเพื่อไทย
สำหรับการลงพื้นที่วันนี้ นายทักษิณ สวมเสื้อเชิ้ตสีเหลือง สวมกางเกงยีนส์ เดินทางมาพร้อมด้วย นายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคเพื่อไทย น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย นายเกรียง กัลป์ตินันท์ อดีต รมช.มหาดไทย ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย ซึ่งมี นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง ซึ่งเดินทางล่วงหน้ามาก่อนแล้ว
ในทันทีที่ นายทักษิณ มาถึง ได้เข้าไปยังจุดโรงครัวก่อน โดยได้ทำข้าวผัดหมู หลังจากที่ทำข้าวผัดไปได้สักพัก นายทักษิณได้ตักขึ้นมาชิมแล้ว เมื่อถามว่าชิมแล้วเป็นอย่างไรบ้าง นายทักษิณบอกว่า "พอได้อยู่" จากนั้นหลังจากทำข้าวผัดเสร็จได้เดินไปตักข้าวไข่เจียวใส่กล่องเพื่อเตรียมไปให้ประชาชน
หลังจาก นายทักษิณ ทำข้าวผัดเสร็จได้เดินเข้ามาตรงศูนย์พักพิงชาวบ้านในพื้นที่ได้ร้องเพลง Happy Birthday พร้อมเดินทักทายให้กำลังใจประชาชน
จากนั้นนายทักษิณ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนระบุว่า "วันนี้ตั้งใจมาเยี่ยมประชาชน ตั้งใจมาให้กำลังใจ เพราะเขาต้องอพยพออกมา ถือว่าต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือ คนไทยต้องมีน้ำใจต่อกัน ต้องสนับสนุนเรื่องการอยู่ การกิน ให้เขาอยู่แล้วไม่เดือดร้อน กินอิ่มนอนหลับและอีกไม่นาน อีกไม่กี่วันคงได้กลับบ้านกันแล้ว ขณะเดียวกันวันเกิดก็เป็นอีกวันหนึ่งของชีวิต ไม่ได้มีอะไร คิดว่ามีหน้าที่ก็ต้องทำ"
เมื่อถามว่าขณะนี้สถานการณ์ยังตึงเครียด นายทักษิณ บอกว่า ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ตนได้คุยกับทางทหารแล้วบอกว่าให้เดินตามยุทธการของเขาเลยเมื่อจบยุทธการแล้วอยากพูดคุยค่อยพูดคุย แต่ยังไม่จบยุทธการก็ให้ทำให้จบก่อน
เมื่อถามถึงฝ่ายกัมพูชา ยื่นถึง UNSC แล้ว นายทักษิณ กล่าวว่า "ก็ไม่เป็นไรครับเพราะเขาเป็นคนเริ่มก่อน" ตามกฏหมายระหว่างประเทศแล้ว ในเมื่อเราไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกเราก็จะขึ้นศาลโลก แต่ UNSC เป็นการร้องขอ ถ้าหากว่าเราเป็นฝ่ายรุกรานแต่บังเอิญว่าเราใช้ความอดทนอดกลั้น ประชาชนอาจจะหงุดหงิดว่าทำไมเราใจเย็น หากเราไม่ใจเย็นเราก็จะเข้าแผนเขา เราต้องใจเย็นอดกลั้นและฝั่งกัมพูชาก็ยิงก่อน เมื่อเขายิงก่อนเราก็มีสิทธิ์ ซึ่งตรงนี้เราไม่เข้าข้อที่เรียกว่า เป็นการรุกรานก่อน ดังนั้นก็ไม่สามารถเอาเราขึ้นศาลโลกได้
ทั้งนี้มองว่า UNSC ก็คงไม่แทรกซงอะไร แต่คงอยากจะให้เหตุการณ์นี้ยุติโดยเร็ว ซึ่งเราก็ไม่ได้บอกว่าอยากมีเรื่องแต่เขาอยากหาเรื่อง เมื่ออยากหาเรื่องก็ต้องว่าตามกติกา เมื่อจะคุยกันว่าจะจบ ก็ต้องจบ แล้วเราจะเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันหรือไม่ เราอยู่ด้วยความไว้วางใจซึ่งกันและกันได้หรือไม่ ไม่ได้ ถ้าได้ก็อยู่ถ้าไม่ได้จะทำอะไรก็ทำไป ไม่เป็นไร
เมื่อถามว่า ฝั่งไทยเองอยากให้กัมพูชากลับเข้ามาอยู่ในโต๊ะเจรจา นายทักษิณ บอกว่า เขาพยายามหลีกเลี่ยง เพื่อต้องการสร้างให้ตัวเองได้เปรียบ ทำนองว่า เอะอะอะไรๆ ก็จะขึ้นศาลโลก ซึ่งเราไม่ยอมรับศาลโลกอยู่แล้ว
นายทักษิณ บอกอีกว่าบางทีเราอดทนอดกลั้น ซึ่งบางทีประชาชนไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐบาลใจเย็น แต่เราต้องอดทน เมื่อมาถึงจุดนี้แล้วเราถือว่าเราได้ทำหน้าที่ของเราดีที่สุด
ส่วนเงื่อนไขที่บอกว่าให้กัมพูชาหยุดยิงก่อนถึงจะเจรจานั้น นายทักษิณ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเงื่อนไขปลีกย่อยซึ่งทางทหารในพื้นที่ย่อมรู้ดี ให้ทำตามยุทธการให้จบ
เมื่อถามว่าขณะนี้มีหวังว่าฝั่งอาเซียนโดย คุณอันวาร์ จะมาเป็นตัวกลางในการเจรจาหรือไม่ นายทักษิณ บอกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่อง Conflix ของสองประเทศ มองว่าคุยกันเองก็ได้ถ้าเขาอยากจะคุย แต่ถ้าไม่อยากคุยก็จะคุยผ่านใครแล้วค่อยว่ากันอีกที แต่วันนี้เราถือว่าเป็นเรื่องของความขัดแย้งสองประเทศที่สามารถคุยกันก็ได้
เมื่อถามถึงบางส่วนมองว่าภาพลักษณ์ประเทศไทยไปรังแกก่อน นายทักษิณ ยืนยันว่าไม่มีเลย เค้ายิงมาและยิงเป้าหมายที่เป็นประชาชน อันนี้คือสิ่งที่แย่ที่สุดของโลก ซึ่งทั้งโลกของประณามหมดแล้ว แต่เราโต้กลับเฉพาะพื้นที่ทหารเท่านั้นเราไม่ได้โต้กลับในพื้นที่พลเรือน
เมื่อถามอีกว่า บางฝ่ายมองว่าฝั่งไทยสื่อสารค่อนข้างช้าในระดับสากล นายทักษิณ บอกว่า เราสื่อสารไปเยอะพอสมควรแต่บางทีบางครั้ง ฝั่งกัมพูชาใช้หลัก propaganda ความหมายประมาณว่า โกหกไปเรื่อยๆ และพยายามให้คนในประเทศตัวเองเข้าใจว่าตัวเองเก่ง แต่ความจริงแล้วเป็นการโกหก
ส่วนกรณีที่มีชาวบ้านรายหนึ่งมาตะโกนส่งเสียงเพื่อสื่อสารถึง นายทักษิณ ว่า ในเมื่อนายฮุนเซนและนายทักษิณเป็นเพื่อนกันทำไมต้องปล่อยให้ทำร้ายประชาชนจนได้บาดเจ็บและเสียชีวิต นายทักษิณ กล่าวว่า ขออนุญาตเล่าให้ฟังว่าเมื่อวันศุกร์ก่อนโน้น ที่ฝั่งกัมพูชาจะถอนกำลังทหาร ผมโทรไปโวยวายว่า เห้ย ในเมื่อลูกเราเป็นผู้นำประเทศทำไมถึงได้ยกกำลังมาปะชิดชายแดนขนาดนี้ อีกฝั่งก็ถามว่าแล้วจะทำยังไง ผมก็ตอบไปว่า ก็ต้องเจรจรากัน จนเป็นที่มาของ JBC, การคุยกันที่ชายแดน แล้วอาทิตย์ก็ถอยกำลังทหาร จนเลยตามเลยไปถึงเรื่องปิดด่าน อีกฝั่งเลยมีความรู้สึกไม่พอใจเรา จึงได้พูดจาอะไรที่ไม่ดีขึ้นมา จากนั้นนายกฯ จึง สื่อสารผ่านทางเฟซบุ๊กไปว่า Unprofessional เขาจึงโกรธคำนี้เป็นที่มาของการดักฟังและปล่อยคลิป
ขณะเดียวกันคนไทยบางส่วนอาจเข้าใจว่าเป็นการไม่พอใจกันระหว่างสองตระกูล นายทักษิณ ยืนยันว่าไม่เกี่ยวเลย ถ้าไม่พอใจอาจต้องทำวิธีอื่น แต่เรื่องนี้เราถือว่าสถาบันชาติสำคัญที่สุด เรื่องส่วนตัวเรื่องความสัมพันธ์มาทีหลัง หากใครรู้อดีตในสมัยโปเชนตง สมัยนั้นตนกับฮุนเซน มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่ถือว่าต้องปกป้องและป้องกันชีวิตคนไทยก่อน ถ้าคุยกันแล้วยังเขายังไม่สามารถดูแลคนไทยได้ จึงได้ตัดสินใจส่งคอมมานโด ส่ง C-130 ไปรับคนไทยกลับเมื่อปี 2546 เพราะฉะนั้นเรายืนยันว่าสถาบันชาติสำคัญที่สุด
"ความสัมพันธ์ส่วนตัวหมายความว่าแค่คุยกันได้ ซึ่งวันนั้นเราคุยแล้ว แต่คุยแล้วหลังจากนั้นมันบ้าไปแล้วก็เลยไม่รู้จะคุยอะไร"
ช่วงท้าย นายทักษิณ ยืนยันว่า เหตุการณ์นี้จบและไม่ยืดเยื้ออย่างแน่นอน นักข่าวถามย้ำว่าจะยืดเยื้อถึงหลักเดือนหรือไม่ นายทักษิณ ย้ำชัดว่า ไม่มีๆ ไม่นาน คนเรามันก็ต้องมีวันจบ
ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่ นายทักษิณ ได้มาเยี่ยมและให้กำลังใจประชาชนนั้น ได้มี นางเอ (นามสมมติ) ชาวบ้าน ที่อพยพมาจาก อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งญาติได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ได้เดินทางมาที่ศูนย์อพยพเพื่อต้องการจะพบกับ นายทักษิณ และอยากถามว่า "ในเมื่อเป็นเพื่อนกัน ทำไมให้เพื่อนของเขามาทำกับคนไทยแบบนี้ ทำไมถึงได้มาสั่งฆ่าคนไทยมาระเบิดคนไทย ทำไมต้องให้ท้ายเพื่อนด้วย บ้านช่องพังเสียหาย ครอบครัว เพื่อนญาติพี่น้อง เดือดร้อน เสียชีวิต"
เมื่อถามว่า อยากจะให้นายทักษิณช่วยเหลืออะไรหรือไม่ นางเอ (นามสมมติ) บอกว่า "เขาไม่ช่วย เขาช่วยแต่ครอบครัวเขา พวกเขา เขาไม่ได้ช่วยคนไทย มีแต่เราช่วยกันเอง เราให้กำลังใจทหารที่ช่วยเหลือประชาชน"
และเมื่อถามต่อว่า อยากจะส่งเสียงสะท้อนอย่างไรให้นายทักษิณได้ยินหรือไม่นั้น นางเอ (นามสมมติ) พูดทิ้งท้ายว่า "ทำได้แค่นี้ แค่เสียงเดียวเขายังไม่ฟังหรอก" หลังจากนั้นก็ได้เดินออกจากศูนย์อพยพไป
Advertisement