วันนี้ (19 กรกฎาคม 2568) ที่ตลาดนัดจตุจักร คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย กล่าวถึง ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม รวมถึงภาษีทรัมป์ ว่า เศรษฐกิจ ย่ำแย่รายรับไม่พอรายจ่าย หนี้ครัวเรือนสูงขึ้น โดยเฉพาะหนี้นอกระบบพ่อค้าแม่ขายเป็นหนี้นอกระบบ ดอกเบี้ย ร้อยละ20 ต่อเดือน เห็นนโยบายของกระทรวงการคลังจะตั้งกองทุนมาซื้อหนี้ก็ยังไม่เห็นความคืบหน้า
ส่วนที่มีการโยกงบ 157,000 ล้านที่จากงบดิจิตอล wallet ลงไปงบก่อสร้างทั้งหมดซึ่งเป็นงบเงินทอน จึงตั้งคำถามว่าทำแบบนี้เศรษฐกิจไม่หมุน เพราะเป็นเงินทอนด่วน หรือให้ใคร องค์กรต่อต้านคอรัปชั่นก็บอกแล้วว่าจะถูกหัก 30% เป็นอย่างต่ำ ดังนั้นถ้าเอางบทั้งหมดไปลงกับงบก่อสร้างก็จะได้เงินทอนทั้งหมดเกือบ 50,000 ล้านบาทซึ่งไม่มีประโยชน์กับประชาชน ตนจึงบอกว่าให้แบ่งมาสัก 50,000 ล้านมาตั้งเครดิตกองทุนประชาชนดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อเดือนไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน เครดิตนี้จะอยู่กับประชาชนตลอดไป ปรากฏว่ารัฐบาลไม่ได้ดำเนินการเรื่องใดเลยที่เกี่ยวกับปากท้อง ปัญหาค่าครองชีพที่แพงขึ้นรัฐบาลก็คุมไม่ได้ รายได้ไม่พอรายจ่าย และนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ให้ประชาชนมีกำลังในการใช้สอยเรายังไม่เห็นอะไรเลย
คุณหญิงสุดารัตน์ ยังกล่าวถึง เรื่องภาษีทรัมป์ ว่า แบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกคือกลุ่มอเมริกามาลงทุนเอง 2.กลุ่มสินค้าต่างชาติมาสวมสิทธิ์ แต่กลุ่มที่ 3 คือเรื่องของคนไทยที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก SME ที่จำเป็นจะต้องลดเรื่องของภาษีสินค้าหมวดการเกษตร ตนจึงอยากให้รัฐบาลดูให้ดี บางหมวดเราผลิตไม่พอเรานำเข้าจากต่างประเทศนำเข้าจากสหรัฐมาแทนได้แต่บางหมวดเราผลิตใช้อยู่ต้นทุนเราอาจจะแพงกว่าแต่มันคือชีวิต เช่นเรื่องหมู ส่วนใหญ่เป็นผู้ค้ารายเล็กต้นทุนหมูเราแพงกว่าหมูที่นำเข้าจากอเมริกาแน่ แต่ถ้านำเข้ามาคนไทยได้กินหมูถูกแต่อาจจะมีสารเคมีปนเปื้อน หากนำเข้ามาจะกระทบเรื่องสุขภาพผู้ประกอบการรัฐบาลเตรียมการอย่างไร นี่เป็นตัวอย่างที่แสดงความห่วงใย ซึ่งทั้งห่วงใยและเอาใจช่วยให้รัฐบาลโดยเฉพาะทีม Thailand ได้ใช้ความพยายามความสามารถในการเจรจาและรักษาผลประโยชน์ของประเทศไทยไว้ด้วย พร้อมกับหาตลาดใหม่ๆให้กับคนไทยเช่นตลาดอินโดนีเซีย ตลาดอเมริกันใต้ ที่ยังมีกำลังซื้ออยู่แต่ยังไม่เห็นความเคลื่อนไหวของรัฐบาล
Advertisement