(18 ก.ค. 2568) นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยภายหลังการเข้าร่วมฟังการไต่สวนคดีชั้น 14 ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า วันนี้ได้รับทราบข้อเท็จจริง ได้เห็นเอกสารเองกับหูได้ดูกับตา และคำให้การขัดแย้งกับแพทย์สภาจริงๆ ซึ่งในอาทิตย์หน้าแพทย์สภาจะมาเบิกความ เมื่อเช้าตนได้ชี้แจงต่อศาลและศาลได้นำใบเสร็จขึ้นมาถามสรุปแล้ว ก็ถามว่าทำไมใบเสร็จถึงไม่มีค่ายา
"ผู้อำนวยการทั้งเก่าและใหม่ เขาบอกว่าไปซื้อยาข้างนอกมาใช้เอง ซึ่งตนงงมากกับระบบของโรงพยาบาลตำรวจ พี่แพทย์จ่ายยาทุกวันแต่ไม่รู้ว่าจ่ายยาอะไร เป็นเรื่องแปลกประหลาดเป็นพิรุธใหญ่มาก" นายชาญชัยกล่าว
นายชาญชัย กล่าวว่า วันนี้ทางองค์คณะได้สอบถามมากพอสมควร แล้วตนจะให้หลักฐานเหล่านี้ไปปรากฏต่อสาธารณะ ซึ่งไม่ผิดเพราะหลักฐานตัวนี้ได้ให้ไว้ก่อนที่จะเข้าไปฟังศาลไต่สวน และไม่ใช่เวชระเบียน ไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้นเปิดเผยต่อสาธารณะได้ ศาลได้เรียกหลักฐานไปแล้วไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น ยืนยันว่าเปิดเผยต่อสาธารณะได้ และเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะไม่ใช่การกล่าวโทษผู้อื่น
และยังตั้งข้อสังเกตว่าไม่น่าเป็นไปได้ เพราะคนไทยทั้งประเทศเวลาไปนอนโรงพยาบาล เวลาได้รับใบเสร็จจะมีรายการยาทุกคน แต่มีใบเสร็จนี้อันเดียวที่ไม่มี ซึ่งเป็นกรณีพิเศษเพราะฉะนั้นอย่าไปโทษคนอื่นว่าเขากลั่นแกล้งตัวเองทำอะไร และทำผิดกฎหมายและทำให้คนอื่นเดือดร้อนไปทั้งหมด เป็นเรื่องที่เจ้าตัวต้องไปพิจารณาตัวเอง
นายชาญชัย เปิดเผยว่า ตนได้ถามไปว่าใครเป็นคนส่งตัวนายทักษิณไปโรงพยาบาลตำรวจ 181 วัน ซึ่งโดยปกติ นายทักษิณ สั่งไม่ได้ แต่วันนี้จะมีคนที่เข้าร่วมกระบวนการนายทักษิณ คือศาลอนุมัติให้ นายวิษณุ เครืองาม มาเป็นพยานให้ นายทักษิณ ในวันที่ 30 ก.ค. นี้ ความจริงจะปรากฏอีกรูปแบบหนึ่งทั้งระบบแล้วจะปิดก๊อกและความจริงจะปิดเกมแล้ว แล้วจะปรากฏว่าเรื่องนี้จะไปจบอย่างไร
ด้าน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี กล่าวว่า หัวใจสำคัญวันนี้คือการไต่สวนแพทย์ ดังนั้นประเด็นที่เกิดขึ้นทั้งหมดจึงเป็นประเด็นที่เกิดขึ้นในค่ำคืนวันที่ 22 ส.ค. 2566 ที่มีการส่งตัวมาโรงพยาบาลตำรวจ สิ่งที่เกิดขึ้นคือเมื่อนักโทษรายนี้มาโรงพยาบาลตำรวจและไปอยู่ที่ชั้น 14 มีการถามว่าใครกำหนดให้เป็นคนอยู่ที่ชั้น 14 ซึ่งไม่มีใครชี้แจงได้ว่าใครเป็นผู้กำหนด แต่ในภาพรวมพยายามโบ้ยไปให้พยาบาลหรือศูนย์ประสานงานในการรับผู้ป่วย
วันนี้เป็นการยืนยันว่าการส่งนักโทษรายนี้มา ด้วยหลักการแล้วต้องผ่านห้องฉุกเฉิน เพราะเป็นผู้ป่วยฉุกเฉิน มีอาการเจ็บหน้าอก มีปัญหาการหายใจ แต่ที่จะฟังการไต่สวนแล้วยืนยันว่าไม่มีการผ่านห้องฉุกเฉิน ซึ่งมีการซักถามกันในประเด็นห้องฉุกเฉินกับชั้น 14 และ ICU ว่าศักยภาพเป็นแบบไหน อย่างน้อยก็ให้รับรู้ว่าห้องฉุกเฉินเป็นห้องรักษาเบื้องต้นผู้ป่วยที่มีอาการวิกฤต ส่วน ICU จะเป็นการดูแลคนไข้วิกฤตแบบระยะยาว
"มีการชี้ให้เห็นว่าชั้น 14 เป็นห้องพิเศษหรือไม่ มีพยานอย่างน้อย 2 ปากชี้ให้เห็นว่าเป็นห้องพิเศษ แต่มีอยู่ 1 ปากที่พยายามบอกว่าเป็นห้องแยก หลายๆ ปากให้ข้อมูลสอดคล้องกันชี้ว่าชั้น 14 ที่เอาขึ้นไปส่งนั้น ด้วยสาเหตุสำคัญ 2 กรณี คือ อ้างเรื่องโควิดและอ้างเรื่องความปลอดภัย" นพ.วรงค์กล่าว
นพ.วรงค์ ยังกล่าวว่า การมาถึงโรงพยาบาลตำรวจในช่วงเที่ยงคืนเศษๆ ภาพปกติแล้วผ่านห้องฉุกเฉินแพทย์เวรห้องฉุกเฉินจะเป็นคนดูแลและปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แต่คืนนั้นกลายเป็นปรึกษาแพทย์เวร ที่เป็นแพทย์ด้านศัลยกรรมสมอง ตนจึงตั้งข้อสังเกตว่าแพทย์ที่ถูกสอบจากโรงพยาบาลตำรวจวันนี้ กลายเป็นแพทย์ที่อยู่ในทีมเดียวกันคือ ศัลยกรรมสมองทั้ง 3 คน
มีการส่งตัวมาเพราะอาการแน่นหน้าอกและถูกสงสัยว่าเกี่ยวกับโรคหัวใจ แต่แพทย์ที่ดูแลกลับเป็นแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านสมอง ไม่ได้ปรึกษาแพทย์ด้านหัวใจในคืนนั้น และจากที่ฟังแพทย์ที่ทำการรักษาด้านสมอง กลายเป็นแพทย์ผู้สั่งการรักษาในคืนนั้น ทุกคนทราบอยู่แล้วว่ามีการใช้ยา 2 ตัวคือยาพ่นกับยาลดความดัน ที่น่าแปลกใจมากสำหรับคนที่อยู่ในวงการแพทย์คือ
"มีการปรึกษาแพทย์ทางด้านโรคหัวใจจริงๆ ซึ่งมาปรึกษาในวันที่ 23 ส.ค. 2566 ในเวลาปกติ และแพทย์โรคหัวใจมาดูแลจริงๆ ในวันที่ 24 ส.ค. 2566 ซึ่งมีการบันทึกไว้ชัดเจนว่าอาการผู้ป่วยทุเลาลง หากเป็นคนไข้ทั่วไปสามารถกลับไปรักษาที่บ้านได้ มีปัญหาอะไรก็ให้มาตรวจต่อได้ตรงนี้เป็นประเด็นสำคัญ" นพ.วรงค์ กล่าว
Advertisement