ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กทม. นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขึ้นเวทีเพื่อโชว์วิสัยทัศน์ในหัวข้อ "Crafting the Future: From OTOP to ThaiWORKS and Beyond" ภายในงาน SPLASH soft power forum 2025 โดย นพ.สุรพงษ์ สืบวงรี ได้มีการสอบถาม ให้นายทักษิณได้อธิบายว่าอะไรคือคิดใหม่ทำใหม่
โดย นายทักษิณ อธิบายว่า คิดใหม่ทำใหม่มาจากวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศในอดีต และไทยตามไม่ทันโลก เพราะเราอยู่กับที่เดิมๆ ในขณะที่โลกกำลังเปลี่ยนไป จึงต้องคิดใหม่ ทำใหม่ ซึ่งคำว่า "ตาดูดาวเท้าติดดิน" ต้องการให้รู้ว่า เราต้องฝันและบินไปให้ไกล โดยที่ไม่ลืมรากเหง้าของของตัวเอง ซึ่งเท้าต้องติดดินไว้ นั่นคือสิ่งที่เป็นรากฐานของเรา เพราะสิ่งที่เติบโตกันมายังคงอยู่ ที่เรากำลังปรับตัว และกำลังไปสู่โลกกว้าง ซึ่งเราต้องมั่นใจว่า แข็งแรงพอ นี่คือหลักที่ตนต้องการสื่อสารไปยังคนไทยในวันนี้
เมื่อถามว่านโยบายที่เคยทำในอดีต เมื่อปี 2544 เช่น นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค หรือกองทุนหมู่บ้าน แต่มีหนึ่งนโยบายที่ยึดหลัก "ตาดูดาวเท้าติดดิน" คือ หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือ โอทอป ซึ่งที่มาที่ไปนั้นมาจากไหน นายทักษิณระบุว่า มีโอกาสได้เจอคนญี่ปุ่นคนหนึ่ง ได้พูดคุยเรื่อง อีซองอีปิง ของญี่ปุ่น หรือแปลว่า หนึ่งหมู่บ้านหนึ่งผลิตภัณฑ์ของประเทศเขา ซึ่งตนเองเติบโตมาจากลานชินวัตรไหมไทย ที่สันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ตนได้เห็นงานฝีมือมาโดยตลอด ซึ่งรู้ว่า สามารถไปได้ในระดับหนึ่ง แต่ไปได้ไม่ไกล จึงคิดว่า หากเรามีการออกแบบใหม่ ทำตลาดที่ดี สินค้าน่าจะไปได้ไกลกว่านี้ ถ้าอยากทำอะไรที่ให้ชาวบ้านมีส่วนเกี่ยวข้อง สร้างรายได้ จึงคิดว่า โครงการนี้ของญี่ปุ่นเป็นโครงการที่ดี และพบว่าภูมิปัญญาของไทย มีงานฝีมืออยู่ทุกที่ทุกภาคในประเทศ ซึ่งสามารถนำมาปรับได้ แต่เนื่องจากชาวบ้านไม่สามารถลงทุน หรือหาตลาดได้ หรือออกแบบใหม่ได้ รัฐบาลจึงต้องเข้าไปช่วย ถึงจะได้บริษัทของญี่ปุ่นมาช่วย และได้ข้าราชการของกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ มาร่วมด้วย ทำให้โครงการโอทอปประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
โดยในปีแรก ที่เริ่มต้นทำสินค้าโอทอป สามารถขายได้กว่า 2 หมื่นล้านบาท ปีต่อมาได้กว่า 4 หมื่นล้านบาท และสามารถส่งออกประเทศญี่ปุ่นได้อีกด้วย ซึ่งมีการนำสินค้าไปขายผ่านโทรทัศน์ของญี่ปุ่น ในการจัดรายการทีวีครั้งหนึ่งขายได้หลาย 100 ล้าน ซึ่งตนคิดต่อไปว่า เราจะปรับอะไรอีกต่อไปเนื่องจากการศึกษา และบริหาร ของเรามีปัญหา ไทยยังมีแนวคิดแบบต่างคนต่างทำ จึงคิดว่า เศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทยน่าจะยังเป็นจุดแข็ง และหากินได้อีกยาว เพราะโลกยิ่งเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่ แต่อยากให้มีสิ่งที่สร้างโดยฝีมือมนุษย์ และรักษาไว้ เพราะปัจจุบันได้พึ่งพาเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ มากมาย จึงคิดว่า เศรษฐกิจสร้างสรรค์จะเป็นจุดแข็งของประเทศไทย นอกเหนือจากการตามไม่ทันเศรษฐกิจด้านเทคโนโลยี ทั้งนี้ตนมีโอกาสได้เจอนายปีเตอร์ ฮาร์แนลในช่วงที่อยู่ต่างประเทศ และได้มีโอกาสเจอกัน จึงชวนมาทำโครงการไทยเวิร์ค เพื่อต่อยอดโครงการโอทอป คิดว่าจะสามารถช่วยคนไทยลงไปในระดับรากหญ้าได้ ขณะที่คนระดับบนยังสามารถต่อยอด การตลาดทางด้านการตลาดการเสริมสร้างผลิตภัณฑ์ต่อไปได้
เมื่อถามว่า ตอนที่เริ่มทำ สินค้าโอทอป มีครั้งหนึ่งในคณะรัฐมนตรี ที่นายทักษิณ เคยบอกว่าอยากจะไปตั้งร้านโอท็อปที่อเวนิว ซึ่งจริงๆแล้วแนวคิดที่แท้จริงนั้น จะไม่ใช่โอทอป อย่างที่เห็นทุกในวันนี้ ซึ่งจะต้องเอาเรื่องการออกแบบและการดีไซน์ เพื่อนำไปสู่ตลาดโลกให้ได้ โดยหลังจากที่ได้คุยกับนาย “ปีเตอร์” แล้วมีแนวทางที่จะพัฒนาโอทอป ต่ออย่างไรบ้าง นายทักษิณ กล่าวว่าจริงๆ ก็ ตนคิดวันนั้น ตนมองสินค้าไทยในภาพรวม มี สินค้า โอทอปเป็นสินค้าฐาน แล้วก็มีสินค้า SMEsเป็นสินค้าประกอบ ดังนั้นต้องสร้างแบรนด์ แต่บริษัทเล็กๆ ถ้าจะสร้างแบรนด์ต้องใช้ตังค์ เป็นจำนวนมากที่จะมานำไปสู่สากล จึงให้เกาะปีก แบรนด์ไทยแลนด์ไปก่อนแล้วกัน เลยจะสร้างแบรนด์ไทยแลนด์ขึ้นมา แต่จะเป็นยี่ห้ออะไรก็ว่ากันไป เมื่อแข็งแรงแล้วก็สร้างแบรนด์ของตัวเองได้ ก็เลยคิดว่าจะทำร้านในเมืองใหญ่ๆ ที่ช้อปปิ้งทั้งหลาย เป็นโชว์รูมของประเทศไทย
ช่วงคิดคือปลายปี 48 แต่การเมืองเริ่มยุ่งแล้ว บ้านเมืองเราจะเสียเวลาเรื่องการเมือง ไปโดยไร้สาระมากว่าเรื่องที่เป็นสาระ เลยทำให้เรื่องสาระถูกละเลยเป็นประจำ พอมาเจอ "ปีเตอร์" จึงอยากสานต่อความคิดให้เป็นสากล ตรงถนนราชดำเนินที่เป็น ที่ทรัพย์สินฯ กำลังจะหมดสัญญาลง ตนคิดว่าจะนำมาใช้เป็นร้านโอทอป สลับกับ ห้องที่เป็นแบรนด์ จะได้ไม่น่าเบื่อ โอทอปจะได้เห็นพัฒนาการและปรับตัวให้ทันสมัยขึ้น เพื่อให้ราคาได้ดีขึ้น วันนั้นคิดแบบนี้แต่พอปีเตอร์ มาช่วยออกแบบก็ใกล้ความที่เราฝันแล้ว สมัยนั้น นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเป็นนายกฯ เตรียมจะทำแบบนี้พอดี แต่มีปฏิวัติเสียก่อนก็เลยพักไป ตอนนี้กลับมาใหม่ เอาของเก่าที่ดีไซน์ไว้มารีเฟซใหม่ทั้งหมด และเรามาดูว่าเราจะ Move อย่างไรต่อ
"จำไว้นะว่าผมเป็นรัฐบาล หรือไม่เป็นรัฐบาล ไม่มีเลิก ที่ทำทั้งหมดออกตังค์เองเพราะต้องการให้เป็นโซเชียลเอ็นเตอร์ไพร้ส์ของคนไทย ไม่ใช่เป็นของการเมือง จะได้ทำให้การพัฒนาประเทศหรือการครีเอทีฟ ต่อเนื่องยาวนาน" นายทักษิณกล่าว
นายทักษิณ กล่าวว่า ถ้าเป็นชาวบ้านให้ฟรีไปเลย แต่หากเป็นของธุรกิจ ก็อาจจะบริจาคเงินบางส่วน เพื่อใช้สำหรับหมุนเวียนและพัฒนาดูแลชาวบ้าน ซึ่งนอกจากให้ SMEs ขยายผล ตนยังอยากให้หมู่บ้าน ทุกหมู่บ้าน เป็นหนึ่งโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อผลิตสินค้า ที่ดีไซน์ จากส่วนกลางและเป็นทักษะของท้องถิ่น ผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์ของคนท้องถิ่น
เมื่อถามว่า มีภูมิปัญญาพื้นบ้านแล้ว จะนำมาพัฒนาต่อแล้วจะกลับไปยังภูมิปัญญาดั้งเดิมได้อย่างไร นายทักษิณ กล่าวว่า เราเอาแนวคิดและดีไซน์มาปรับให้เป็นสากล แล้วออกแบบและตัวต้นแบบ เพื่อผลิตส่งออก มีซัพพลายที่ต่อเนื่อง เป็นสิ่งที่เราจะปรับจากฝีมือชาวบ้านธรรมดาให้สู่สากลให้ได้ แต่ส่วนใหญ่เราจะไม่ทิ้งดีไซน์ที่มีความเป็นไทย ไม่ทิ้งความเป็นสุนทรียของไทย เป็นแกนหลักของสินค้า
เมื่อถามว่า กรณีที่ไม่มีคนรุ่นใหม่ส่งเสริมเรื่องนี้เท่าไหร่จะทำอย่างไรให้คนรุ่นใหม่เข้ามาสนใจ นายทักษิณ กล่าวว่า ต้องรีบทำให้สินค้า หรือดีไซน์แบบของไทยทำเงินได้ และเด็กรุ่นใหม่ โดยเฉพาะเจนซี จะห่วงเรื่องการเงินของเขามาก ถ้าไม่มีช่องทางหารายได้เขาก็ทิ้ง ถ้าเขาทำเงินได้เมื่อไหร่เขาก็จะอยู่ต่อไป ไม่มีใครทิ้งสิ่งที่ทำเงินได้ ทุกอย่างเป็นเรื่องของเศรษฐกิจที่เราต้องทำให้ฟื้นตัว เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวทำอะไรก็ขายได้ สมัยที่ตนทำ OTOP ตอนนั้นเศรษฐกิจแก้ไขได้พอดี ทำให้ขายได้ เมื่อปี 2546-2547 ผู้ว่าราชการจังหวัดได้รับโทรศัพท์จากคนที่มาออกร้าน ว่า ขอเลี้ยงผู้ว่าฯหน่อยได้หรือไม่ เพราะในชีวิตเพิ่งได้กำเงินล้านครั้งแรก จากการไปขายของที่งาน OTOP ขายได้ล้านหนึ่ง จึงอยากเลี้ยงผู้ว่าฯที่เชิญให้เขาไปร่วมงาน เป็นสิ่งที่ฟังแล้วเป็นปลื้ม เพราะ OTOP ทำให้คนไทยมีรายได้ ซึ่งการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในวันนี้ยากกว่าสมัยก่อน เพราะหมักหมมมาเยอะมาก แต่ต้องแก้เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว เมื่องาน Thai Works หรือ OTOP ขับเคลื่อนได้ คนรุ่นใหม่จะหันกลับมา จะเป็นช่องทางทำมาหากินอีกช่องทางหนึ่ง
นพ.สุรพงษ์ ได้ถามต่อว่า มีอะไรที่จะเสนอต่อกรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย เรื่องโครงการไทยเวิร์คหรือไม่ นายทักษิณ ตอบว่า อยู่ที่เรื่องการเอาจริงเอาจัง หากรัฐเอาจริงเอาจังข้าราชการก็ร่วมมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงมหาดไทย ซึ่งไม่ค่อยให้ความร่วมมือมาก่อน โดยวันนี้กระทรวงมหาดไทยต้องให้ความร่วมมือเต็มที่ เพราะเป็นกระทรวงฯ สำคัญที่จะนำนโยบายไปสู่ประชาชน เพราะผู้ว่าราชการจังหวัด กำนันผู้ใหญ่บ้าน อยู่ติดกับชาวบ้านมากที่สุด ซึ่งไทยเวิร์ค หรือซอฟพาวเวอร์เป็นมูฟเมนต์ ซึ่งหากมูฟเมนต์นี้ไม่มีคนช่วยมูฟ ก็จะทำงานลำบากซึ่งกระทรวงมหาดไทยต้องช่วยมูฟ
พร้อมให้ยกตัวอย่าง 3 สินค้าที่คาดว่า จะนำสินค้าไทยเวิร์คสู่ตลาดโลกได้นั้น นายทักษิณ ระบุว่าคือเรื่องผ้า ลายผ้า เพราะไทยมีความเก่ง ซึ่งสามารถนำผ้าไปทำได้หลายแบบ นอกจากนี้ยังมีเฟอร์นิเจอร์เนื่องจากประเทศไทยมีไม้หลายสายพันธ์ หากนำมาดีไซน์ดีๆ จะสามารถสร้างมูลค่าได้ ซึ่งภาครัฐ และเอกชนต้องร่วมมือกัน และมานั่งคิดกันว่าไทยเวิร์คจะไปช่วยแต่ละหมู่บ้านอย่างไร จะไปดูตลาดอย่างไร
นายทักษิณ กล่าวต่อว่า อะไรที่เจริญหูเจริญตาก็เริ่มดีทั้งนั้น ถ้าไปที่ไหนเห็นแต่กล่องสี่เหลี่ยมไม่ไหว ตนอยู่ดูไบไม่ได้บอกว่าชอบมากกว่าประเทศไทย แต่เขาดีไซน์หลากหลายเอาสถาปนิกจากทั่วโลกมาออกแบบตึกก็มีรูปทรงที่ต่างกันและสวยงาม ตนลงเครื่องบินมาถึงประเทศไทยเจอแต่กล่องสี่เหลี่ยม ซึ่งเราไม่กล้าลงทุนในเรื่องดีไซน์ จริงๆ แล้วเราเป็นประเทศที่มีความสวยงามอยู่แล้ว ขณะที่ตนชอบเรื่องศิลปะและเทคโนโลยี
นายทักษิณ กล่าวอีกว่า วันนี้ AI เก่งมากเก่งจนตนกลัว และกลัวหนักว่าคนไทยจะไม่ยอมตามให้ทัน เพราะ Ai แพลนได้หมด โดยไม่ต้องทำอะไร วันนี้นายกฯ บอกว่าเราน่าจะทำ Virtual Training Ai ให้กับประชาชน เรียนเสร็จแล้วค่อยให้โทเค่น เรียนก่อนเพื่อไปใช้ สิ่งเหล่านี้จะมาช่วยเรื่องครีเอทีฟอีโคโนมี่ เราจะใช้ความเป็นยูนิคของคนไทยไปสู่โลกให้ได้ ซึ่งเรื่องนี้ นางสาวแพทองธารมีแนวคิด โดยจังหวะนี้ นายทักษิณ ชี้มือไปที่ น.ส.แพทองธาร และบอกว่านายกฯก็นั่งตรงนี้ ก่อนที่ นพ.สุรพงษ์ จะทักท้วงมาว่าเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และเป็นนายกรัฐมนตรี
เมื่อถามว่า แพลนของ Thai Works หลังจากนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง จะมีโอกาสพัฒนาสินค้า OTOP เมื่อใด นายทักษิณ กล่าวว่า วันที่ 10 ก.ค. นายปีเตอร์จะมานั่งสรุปทั้งหมด และจะเอาแนวคิดนี้มาแยกว่า อะไรจะลงหมู่บ้านหรือชุมชน จะฝากให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ช่วยกัน เรื่อง SME อาจจะขยายตัวได้ดี วันนี้ SME ของเรามีปัญหา เพราะโดนจีนเอาของถูกมาขาย ถ้าเราปรับปรุง SME ก็จะนำเรื่องนี้เข้า ตนอาจจะเชิญ SME มาคุยกัน ว่าใครจะทำอะไร ก็จะช่วยกัน ซึ่งมูฟเม้นท์ ของ Thai Works จะลงไป 2 ระดับ แต่ระดับที่จะเข้าสู่ตลาดโลก เราจะใช้ทีมของปีเตอร์ ที่มีความกว้างขวางในวงการตลาดโลก รู้จักแบรนด์ต่างๆว่าเราจะเข้าไปมีส่วนร่วมอย่างไร นี่จะเป็นเรื่องต่อไปรอให้นายกรัฐมนตรีกลับได้กลับไปทำงานร่วมกัน
นายทักษิณ กล่าวอีกว่า ตนเป็นคนใจร้อน เพราะตอนนี้ก็ 76 แล้วไม่รู้จะอยู่ได้อีกกี่ปี ต้องรีบๆ ทำ
เมื่อถามว่า อยากจะเห็นวงการภาพยนตร์ไทยพัฒนาอย่างไร นายทักษิณ กล่าวว่า ตนเป็นคนประเภทที่ทำมาทุกอย่าง ผ่านมาเยอะทำหนังก็ทำมาแล้ว สมัยก่อนหนังไทยสร้างหยาบๆ ดีๆ ก็มี เรื่องไหนดีก็ได้ตุ๊กตาทอง แต่ไม่ได้ตังค์ก็สร้างดีไป แต่หนังหยาบๆกลับได้ตังค์ คนเดินสายหนังภาคเหนือ ล้มลุกคุกคลาน วงการหนังกู้แบงค์ไม่ได้ ต้องแลกเช็คเพราะแบงค์ไม่เชื่อถือ เป็นธุรกิจ 50-50 จะเจ๋งหรือจะรวยก็ไม่รู้
ส่วนวันนี้เรื่องภาษาไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะระบบ AI แปลภาษาได้ดีและละเอียดมากเพราะฉะนั้นสามารถไปฉายได้หลายประเทศก็ต้องเปิดตลาดทางลัด โดยเฉพาะกระทรวงวัฒนธรรมไทยกับวัฒนธรรมต่างประเทศจะต้องเจรจาคุยกันว่าแลกเปลี่ยนหนังซึ่งกันและกัน แต่ภาพยนตร์ของเราเชื่อหรือไม่ เป็นสคริปต์ที่คนในระดับฮอลลีวูดเริ่มซื้อไปแปลไปดัดแปลง
"เพราะคนไทยเขียนนิยายเก่งโดยเฉพาะการเมืองเนี่ยนิยายน้ำเน่าเยอะมาก" นายทักษิณ กล่าว
นายทักษิณ กล่าวว่า ถ้าเราทำหนังดีมีคุณภาพและเปิดตลาดให้กว้างขึ้นรัฐช่วยสนับสนุนด้วย โดยคุยกับสถาบันการเงินให้โตได้ โดยเฉพาะตลาดจีน อินเดีย มากขึ้นแล้วแลกเปลี่ยนกันไม่ได้เสียหายอะไร ก่อนแซว อากู๋ หรือนายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ประธานกรรมการ และประธานที่ปรึกษา บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ว่ามีตังค์เยอะเพราะได้ตังค์ จากจีนมาหลายเรื่องอยู่
นายทักษิณ กล่าวถึง มาตรการช่วยเหลือเรื่องกองถ่ายในประเทศไทย โดยมองว่าหากมีมาตรการช่วยกองถ่ายต่างประเทศ โดยการคืนอัตรภาษีนั้น การคืนเงินก็ควรเท่าเทียมกัน ถ้าเราให้ต่างประเทศได้ก็ต้องให้ไทยได้
จากนั้นนายทักษิณ ระบุต่อว่า เชื่อหรือไม่ว่าเราไม่ได้ control วิดีโอ Streaming เราไม่ได้ควบคุมเลยนะใครได้เสียภาษีเสีย ตอนนี้กำลังเร่งเรื่อง OTT จะได้เกิดสิทธิเท่าเทียม ต่างชาติมาทำมาหากินในไทยมีรายได้จากไทยก็ต้องเสียภาษีเหมือนคนไทย เพราะที่ผ่านมาไม่เสียนึกอยากเสียก็เสีย ไม่อยากเสียก็ไม่ต้องเสีย เพราะเราไม่รู้ว่าเขามีรายได้เท่าไหร่ แต่วันนี้ OTT กำลังจะเรียบร้อยแล้ว เราก็จะสามารถดูแลทุกแพลตฟอร์มที่เข้ามาในประเทศไทยได้อย่างชัดเจนอันไหนที่ไม่ถูกต้องจะห้ามโดยไม่ต้องเป็นซิงเกิ้ลเกทเวย์ สมัยก่อนที่อยากทำซิงเกิ้ลเกตเวย์เพราะจะคอนโทรลตรงนี้แต่เป็นอะไรที่สังคมไม่ยอมรับ แต่ตอนนี้เราสามารถควบคุม OTT คือเครือข่ายที่ เป็นสิ่งจำเป็น วันนี้การสร้างหนังไทยหรือละครถ้าเราหาตลาดร่วมกับออนไลน์ Streaming ทั้งหลายรายได้ จะดีที่สุด
"Netflix สนใจหนังผีมาก ก็เลยให้อินโดนีเซียทำหนังผี ของเราสตอรี่เยอะแยะไปหมด วันนี้ประเทศไทยสตอรี่เยอะมาก สตอรี่ไม่เยอะก็ใส่สตอเบอรี่เข้าไปด้วยบ้างก็ได้ วันนี้เราก็ต้องสร้างหนังสร้างอะไรบ้างก็ได้ สมองให้มันพัฒนาในทางทำเงินเถอะ อย่าไปพัฒนาในการทำลายซึ่งกันและกัน ประเทศมันอยู่ไม่ได้" นายทักษิณ กล่าว
จากนั้น นพ.สุรพงษ์ ถามถึงเทศกาลภาพยนตร์กรุงเทพกำลังจะกลับมา หลังจากเกิดการรัฐประหาร ปี 49 นายทักษิณ ระบุว่า และอีกอย่างที่จะกลับมาคือ บางกอกแฟชั่นวีค คิดว่าวันนี้เมืองไทยควรมีได้ทุกอย่าง และกำลังซื้อคนไทยลงไปเยอะ จนเห็นสภาพแล้วเราต้องแก้อะไรอีกเยอะ
ส่วนการแสดงออกทางดนตรีของเยาวชน ควรมีสถานที่ให้การสนับสนุนอย่างไร นายทักษิณ ระบุว่า เด็กไทยสามารถเรียนรู้ได้ทุกอย่าง เราต้องกระจายการส่งเสริมให้เด็กแสดงความสามารถออกมาไม่ให้กระจุกกันอยู่แต่ในกรุงเทพฯ หากมีสถานที่ให้การสนับสนุน 2-3 ที เป็นเรื่องที่น่าสนใจ แต่ปัญหาคือเรื่องดนตรี เราต้องมี SOUND ENGINEER หรือ วิศวกรเสียงที่เก่ง
ขณะที่เรื่องดนตรีอย่าง Tomorrowland นายทักษิณ กล่าวว่า ในปี 2026 จะมีที่พัทยาครั้งแรก ซึ่งตนได้เคยไปงาน Tomorrowland กับนายกรัฐมนตรี ที่เมืองออสโล นอร์เวย์ ก็สนุกดี เป็นอีกโลกหนึ่ง
เมื่อถามว่า หากเรามีเฟสติวัลอื่นๆ ของเราไม่ต้องไปจ้างนักร้อง เพราะเรามีเทศกาลดนตรีที่จะตามมาอีกมากมาย ทั้ง Tomorrowland Rolling Loud Summer Sonic นายทักษิณ กล่าวว่า เราต้องมีตัวอย่างให้เด็กไทยเกิดความคิด ว่าเราจะเอาดีทางไหนได้ พร้อมยกตัวอย่างดีเจ ที่ไปทำ EDM ของ Tomorrowland บางคนมีเครื่องบินส่วนตัวเพราะมีรายได้ดี หากถามว่า คนไทยเป็นดีเจได้หรือไม่ ก็สบายมาก ถ้ามีใจรัก
เมื่อถามว่า ในห้องนี้มีผู้บริหารที่ทำเกี่ยวกับดนตรีอยากฝากอะไรให้ผลักดันซอฟพาวเวอร์ด้านนี้หรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า วันนี้ตนเชื่อคำว่า เน็ตเวิร์ค บริษัทใหญ่ต้องมีบริษัทเล็กค้ำ นั่นคือการสร้างหลายๆกลุ่มเข้ามาสนับสนุน แล้วเรามีหน้าที่อยู่ข้างบน ถ้าบริษัทเหล่านี้สนับสนุนคนมากเท่าไหร่ ก็จะได้มากเท่านั้น เพราะจะสร้างอาชีพให้คนจำนวนมาก แล้วพลังจะเยอะขึ้น นายทักษิณ ยังกล่าวอีกว่า ตนชอบคำว่า มูฟเมนต์มากที่สุด ทุกอย่างต้องมีมูฟเมนต์
เมื่อถามว่า นายทักษิณ มองซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทยจะมีอนาคตแค่ไหน จะขับเคลื่อนอย่างไร จะขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจของประเทศได้จริงหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า ประเด็นแรกที่เป็นปัญหาของประเทศไทยคือความไม่สามัคคี ความอิจฉาริษยา ถ้าเราอยู่ด้วยความสามัคคี ไม่อิจฉาริษยากัน และเกื้อกูลกัน ซอฟพาวเวอร์คือพลังมหาศาล มากกว่าฮาร์ดพาวเวอร์อีก นิสัยคนไทยมีความคิดสร้างสรรค์สูง และเรามีวัฒนธรรมที่ดี เมื่อสิ่งเหล่านี้รวมกันจะสามารถสร้างพลังของซอฟต์พาวเวอร์ได้ ในหลากหลายสาขา หลายช่องทาง และนั่นคือช่องทางทำมาหาเงินทั้งนั้น และถึงแม้ต่อไปนี้โลกจะมีเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างไร ก็หนีคำว่าซอฟต์พาวเวอร์ไม่ได้ ทุกอย่างไม่ทิ้งรากเหง้าเดิมๆแน่นอน ดังนั้นเรามีของดีอยู่แล้ว เรามีคนไทย ซึ่งมีสายเลือดแบบนี้อยู่แล้ว ต้องนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ แต่สิ่งสำคัญคือเมื่อสร้างขึ้นมาแล้ว เริ่มเติบโต คนนั้นคนนี้เริ่มอิจฉากัน ต้องทิ้งตรงนี้ไปบ้าง เข้าวัดหน่อย
ในช่วงท้าย นายทักษิณ ยังกล่าวอีกว่า วันที่ 26 ก.ค. นี้ ก็จะอายุ 76 ปีแล้วย่าง 77 ปี ซึ่งเร็วจังเลย แต่ใจยังไม่อยากไปตรงนั้น ตนถึงบอกว่า I accept my age but not my aging
นายทักษิณ พร้อม น.ส.แพทองธาร สามี พี่สาว พี่เขย ชมการแสดงแฟชั่นโชว์และเยี่ยมชมบูธภายในงาน โดยได้แวะเยี่ยมชมบูธซอฟพาวเวอร์ ภายในงาน ทั้งบูธมวยไทย ที่ได้มอบนวมชกมวยไทยให้นายทักษิณ และ น.ส.แพทองธาร เป็นที่ระลึกด้วย ก่อนเยี่ยมชมบูธภาพยนต์ จากนั้นเยี่ยมชมบูธอุตสาหกรรมดนตรี ที่มีการนำเพลงไทยไปประยุกต์เพื่อสื่อสารกับชาวต่างชาติให้เป็นมากยิ่งขึ้น
Advertisement