สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางปะทุขึ้นอีกครั้ง หลังสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เข้าโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ 3 แห่งของอิหร่าน เหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่ปฏิบัติการทางทหารทั่วไป แต่ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญเพราะเป็นครั้งแรกที่กองกำลังสหรัฐฯ เข้ามาพัวพันอย่างเป็นทางการในความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
การโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านไม่เพียงสร้างความเสียหายทางยุทธศาสตร์เท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อเสถียรภาพทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางและทั่วโลก ภายหลังการถูกโจมตีรัฐสภาอิหร่านมีมติให้ดำเนินการ "ปิดช่องแคบฮอร์มุซ" ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นทางเดินเรือที่สำคัญที่สุดของโลก
ช่องแคบฮอร์มุซ หัวใจการค้าพลังงานโลก
ช่องแคบฮอร์มุซ (Strait of Hormuz) เป็นทางน้ำแคบ ๆ ที่ตั้งอยู่ระหว่างประเทศโอมานทางตอนใต้และอิหร่านทางตอนเหนือ เชื่อมต่อระหว่างอ่าวเปอร์เซีย (Persian Gulf) และทะเลอาระเบีย (Arabian Sea) หรือมหาสมุทรอินเดีย โดยมีความกว้างเฉลี่ยประมาณ 33 กิโลเมตรเท่านั้น
แม้จะเป็นเพียงทางน้ำขนาดเล็ก แต่ช่องแคบแห่งนี้มีความสำคัญอย่างมหาศาลต่อทั้งเศรษฐกิจและความมั่นคงของโลก โดยทำหน้าที่เป็นเส้นทางเดินเรือหลักในการขนส่งน้ำมันดิบหลายล้านบาร์เรลต่อวันจากประเทศผู้ผลิตในอ่าวเปอร์เซีย ไปยังตลาดทั่วโลกได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ช่องแคบฮอร์มุซจึงนับเป็นหนึ่งในเส้นทางลำเลียงน้ำมันที่สำคัญที่สุดของโลก เพราะน้ำมันดิบกว่า 1 ใน 5 ที่มีการซื้อขายทั่วโลกต้องเดินทางผ่านช่องแคบแห่งนี้ นี่คือเหตุผลที่ทำให้ช่องแคบฮอร์มุซได้รับการขนานนามว่าเป็นเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจโลก
โดยข้อมูลจากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (Energy Information Administration – EIA) ระบุว่า ในปี 2024 มีน้ำมันดิบผ่านช่องแคบนี้สูงถึง 20 ล้านบาร์เรลต่อวัน คิดเป็นประมาณ 20% ของการบริโภคน้ำมันทั่วโลก และกว่า 80% ของน้ำมันเหล่านี้ถูกส่งออกไปยังภูมิภาคเอเชีย
ปิดช่องแคบฮอร์มุซ สะเทือนเศรษฐกิจโลก
การปิดช่องแคบฮอร์มุซของอิหร่าน จึงไม่ใช่แค่การท้าทายทางทหารเท่านั้น แต่ยังเป็นการเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับการต่อรองเชิงอำนาจระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นการเดิมพันที่สูงเพราะอาจส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน การขนส่งพลังงาน และความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ทั่วโลก
ขณะเดียวกันทั่วโลกต่างจับตาสถานการณ์ในช่องแคบฮอร์มุซอย่างใกล้ชิด เพราะนี่ไม่ใช่เพียงแค่ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังเป็นวิกฤตที่อาจสั่นสะเทือนระบบพลังงาน เศรษฐกิจ และความมั่นคงระหว่างประเทศในวงกว้าง
Advertisement