วันที่ 29 พ.ค. ที่รัฐสภา การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นประธานในที่ประชุม ในวาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 โดยนายชยพล สท้อน สส. กทม.พรรคประชาชนลุกขึ้นอภิปราย งบกระทรวงกลาโหม โดยเริ่มต้นว่าทุกคนต่างต้องการเห็นการทำงานของกองทัพไทยมีประสิทธิภาพ เป็นที่ยอมรับด้านขีดความสามารถ ประสิทธิภาพและความโปร่งใส เพื่อลบคำสบประมาทและชื่อเสียงที่เกิดขึ้น ซึ่งปัญหาภัยความมั่นคงในปัจจุบันปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ด้วยรถถังหรือลูกปืน อย่างที่ไทยประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ หากเลือกที่จะกั๊กงบ แล้วถมเงินในเรื่องการทหารอย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะกลายเป็นค่าเสียโอกาสของประเทศ ที่ไม่สามารถใช้กรอบงบประมาณแก้ไขปัญหาด้านอื่นได้
“ผมอยากให้กองทัพเลิกกั๊กแล้วพักก่อนดีมั้ย เพราะนี่คือโอกาสสุดท้ายที่จะช่วยรัฐบาลในการหาเงิน ก่อนที่เศรษฐกิจไทยจะพังจริง ใช้เงินให้ถูกที่จ่ายเงินได้ประสิทธิภาพก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้” นายชยพลกล่าว
นายชยพล กล่าวว่างบกว่า 4,700 ล้านบาท ของกระทรวงกลาโหม ที่เพิ่มขึ้นจากงบปี 2568 ซึ่งงบประมาณครึ่งหนึ่ง ของกระทรวงกลาโหมอยู่ที่งบบุคลากร หากต้องการให้กองทัพมีประสิทธิภาพเน้นใช้คนน้อยและนำเทคโนโลยีมาใช้ในการรบสมัยใหม่ แต่ยังไม่ได้มีภาพสะท้อนถึงเรื่องการลดกองทัพอย่างที่กล่าวถึง โดยสะท้อนว่าสิทธิประโยชน์ในโครงการเออนี่รีไทร์ ไม่จูงใจจึงไม่สามารถลดจำนวนนายพลได้ตามเป้าเสียโอกาสในการประหยัดงบประมาณ ด้วยสิทธิการเออรี่ในปี 2568 ถึง 2560 ได้เงินก้อน 10 เท่าของเงินเดือนสุดท้าย ขณะที่สิทธิประโยชน์ในช่วงปี 2557 ถึง 2561 ได้ 15 เท่า
ยังเสนอการจัดการกับอาวุธ 3 ขั้นตอนคือ 1. วางแผนให้ดีความจำเป็นทางภัยความมั่นคง 2. ซื้อให้พอจัดซื้อภายในประเทศนำเข้าอย่างมียุทธศาสตร์
และ 3. ซ่อมให้ถึง ซ่อมให้ทนตามวงรอบอย่างเหมาะสม เช่น ความจำเป็นในการจัดหาเรือฟรีเกต หรือ การซ่อมเรืออย่างเหมาะสม สำหรับเรือหลวงภูมิพล ใช้ยังไม่ถึง 10 ปีแต่ถูกใช้อย่างหนัก ขาดการซ่อมบำรุงตามวงรอบ จนเกิดเหตุเครื่องยนต์เสีย ระหว่างภารกิจที่ออสเตรเลีย และต้องเสียงบประมาณ 240 ล้านบาทเฉพาะค่าเครื่องยนต์ ซึ่งงบซ่อมบำรุงแต่ละเหล่าทัพ 3 ปีย้อนหลังพบว่างบของกองทัพเรือลดลงอย่างต่อเนื่องแต่ปัญหาไม่เคยลด
นายชยพลยังหยิบยกเรื่องมาตรฐานยุทโธปกรณ์กระทรวงกลาโหม ที่ทำให้ผู้ประกอบการไทย ที่ทำเรื่องเกี่ยวกับปืนยาว ปืนเล็กชุดเกาะรถถัง รถยานเกาะUAV อุปกรณ์การแพทย์ ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการเข้าถึงยากในการขายสินค้าให้กองทัพ และยังไม่นับเรื่องปัญหาความโปร่งใสของ TOR ซึ่งกองทัพไม่เคยชี้แจงว่าการซื้อยุทธโธปกรณ์มีการซื้ออะไรบ้าง โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคง และจัดให้ข้อมูลอยู่ในชั้นความลับ
“ติดใจคือสิ่งที่ไม่ควรเป็นความลับ อย่างเช่น ยุทโธปกรเพื่อบรรเทาสาธารณะภัย รถตักดิน รถส่องไฟ หรือเรือท้องแบน ถามว่ามีความละเอียดอ่อนที่จะสะท้อนความสามารถของกองทัพไทยได้ขนาดขนาดไหน และสิ่งเหล่านี้ที่กองทัพบกซื้อเป็นไปได้หรือไม่ที่จะอุดหนุนคนไทย อย่างยางรถยนต์ ไทยก็มียางและยี่ห้อผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติไทยก็มี เป็นไปได้หรือไม่ที่จะซื้อจากผู้ประกอบการชาวไทย แต่ปรากฏว่ากองทัพบกเลือกที่จะตั้งโรงงานผลิตเอง และใช้สินค้าจากโรงงานชื่อ รง.ซย.กรซท.ศซส.สพ.ทบ. ย่อมาจากโรงงานซ่อม รถยนต์กองโรงงานซ่อมสร้างยุทธโธปกรณ์ สายสรรพาวุธ ศูนย์ซ่อมสร้างสิ่งอุปกรณ์ สายสรรพาวุธ กรมสรรพาวุธกองทัพบก” นายชยพลกล่าว
ยังกล่าวว่า ในวงเงิน 3,600 ล้านบาทที่จะเป็นโอกาสผู้ประกอบการไทยจะมีส่วนร่วม ซึ่งในเอกสารไม่ควรเป็นความลับ เช่นเตียง 35,000 หลัง รวมเกือบ 100 ล้านบาท อุปกรณ์สมาร์ทคลาสรูม 15 ล้านบาท รถบรรทุก 30 คัน 21 ล้าน หรือแม้แต่พ่อพันธุ์ม้า ต้องการม้าพันธุ์ดีสีดำแท้ในการเพาะพันธ์เพื่อร่วมพระราชพิธี 4 ตัว 26 ล้านบาท ย้ำถามถึงความจำเป็น ในการใช้งบประมาณดังกล่าว
ยังตั้งข้อสงสัยถึงงบปริศนาต้องสงสัย IO ภาค 5 ที่ไร้การชี้แจงจากกองทัพบก รู้เพียงว่าใช้ทำอะไรงบเท่าไหร่ สะท้อนถึงความโปร่งใสในการใช้งบประมาณ ของกองทัพว่าเป็นเพื่อความมั่นคงของชาติหรือเพื่อความมั่นคงของใคร เพราะขณะนี้มีงบประมาณถูกใช้ไปในการคุกคามคนในประเทศ โดยมีโครงการที่น่าจับตาเป็นพิเศษ
“ค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติการตามแผนป้องกันประเทศ และเงินราชการลับ นี่แค่งบประมาณส่วนเดียวที่ไม่มีการชี้แจง แต่ถูกสงสัยว่าเป็นงบประมาณที่ปฏิบัติการคุกคามประชาชน หรือไอโอภาค 5 ที่ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจไปก่อนหน้านี้ ที่ไร้ซึ่งคำตอบและคำชี้แจงจากรัฐบาล คือกระบวนการบั่นทอนประชาธิปไตยโดยการชักใหญ่ของ ศปก.ร่วม หน่วยงานนอกกระทรวงกลาโหม ที่เป็นผู้บงการควบคุมการทำงานของกองทัพ แค่กองทัพบกกินงบประมาณไป 3,000 ล้านบาทในปี 2569 เป็นรัฐพันลึกอย่างแท้จริงเพราะถามสำนักงบประมาณก็ตอบไม่ได้” นายชยพลกล่าว
นายชยพล ยังกล่าวถึงค่าโง่เรือดำน้ำเกือบ 16,000 ล้านบาท ที่จ่ายไปแล้วแต่ยังไม่มีวี่แววจะได้เรือดำน้ำ เสียค่าโง่ก็แล้ว เจรจาก็แล้ว รัฐมนตรีบินไปเยอรมันก็แล้ว จะเดินหน้าต่อหรือพอแค่นี้ รัฐบาลจะรับผิดชอบความเสียหายให้กับคนไทยอย่างไรที่กำลังเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจในขณะนี้ หรือรัฐบาลสามารถขอเงินคืนได้แล้วหรือยัง แต่รัฐบาลจะเดินหน้าจ่ายค่าเรือดำน้ำทั้งที่ยังเรือดำน้ำ แทนที่รัฐบาลจะฟ้องความผิดทางละเมิดต่อศาลปกครอง โจทก์แรกกองทัพเรือ และโจทก์ที่สองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในขณะนั้น โจทก์ที่สามคือ ครม. ที่อนุมัติโครงการในขณะนั้น
นายชยพล ยังให้เสนอตัดงบของกระทรวงกลาโหม เหลือครึ่งเดียวให้คงเหลือ 14,000 ล้านบาทในการช่วยอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ให้เหลือ 7,000 ล้านบาท โดยไม่ได้ต้องการตัดงบประมาณจัดซื้อเรือฟรีเกต จึงเสนอ ครม. 1.ทบทวนมติใหม่ เปลี่ยนหลักการอนุมัติจัดซื้อเรือ2ลำ และดาว 5% ของมูลค่าโครงการ 2. ชะลอโครงการออกไปเพื่อให้โครงการใหม่มีความชัดเจนมากกว่า 3. ฝืนต่อไป
“ต้นเหตุของความเละเทะทั้งหมดมาจาก พ.ร.บ. จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม มาตรา 43 ที่นโยบายการจัดสรรงบประมาณต้องเป็นไปตามมติสภากลาโหม ที่มีนายพล 20 คนนั่งลมตัวรัฐมนตรี และรัฐมนตรีช่วย ไม่มีทางที่จะจัดสรรงบประมาณของกระทรวงกลาโหมให้เป็นไปมีประสิทธิภาพได้ เพราะข้อเท็จจริงคือภูมิธรรม เวชยชัย เป็นรัฐมนตรีที่ถูกบังคับไม่ต้องอ่อนแอ กระทรวงกลาโหมและกองทัพจึงอยู่ในจุดที่ต้องอ่อนตาม การจัดสรรงบประมาณไม่ได้เป็นไปเพื่อประสิทธิภาพ แต่การจัดจัดสรรงบประมาณด้วยระบบแบ่งเค้ก โดยกองทัพบกเอาไปสองส่วน กองทัพอากาศหนึ่งส่วน และกองทัพเรืออีกหนึ่งส่วน แบ่งเข้าแบ่งเค้กแล้วแยกกันไปประกอบเมนูตามใจตัวเอง” นายชยพลกล่าว
โดยไม่เชื่อว่าการจัดสรรงบประมาณของกองทัพในปี 2569 จะเป็นไปด้วยประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่อประเทศ จึงไม่สามารถรับการร่างงบประมาณปี 2569 ได้
Advertisement