วันที่ 29 พ.ค. ที่ศาลฎีกา สนามหลวง นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ พร้อมด้วย พล.ต.อ.เสรีพิสุทธ์ เตมียเวส ,นายสมชาย แสวงการ ,นายตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ,นายภิมะ สิทธิ์ประเสริฐ และนายนิติธร ล้ำเหลือ ยื่นคำร้องขอส่งมอบพยานหลักฐาน และข้อเท็จจริงต่างๆ ในคดีที่นายทักษิณ ชินวัตร รักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ขณะถูกคุมขัง อันเป็นที่มาของคำร้องฉบับที่ศาลฎีกาได้สั่งรับไว้ไต่สวนหาความจริง
นายชาญชัย กล่าวว่าวันนี้ได้เดินทางมาส่งมอบเอกสารหลักฐานเพื่อประกอบคำร้องเดิมที่เคยยื่นต่อศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของนักการเมือง
ก่อนหน้านี้ และศาลมีคำสั่งรับคำร้องไว้ไต่สวนเองตามอำนาจศาล โดยเอกสารที่นำส่งและอ้างไว้ในคำร้องเดิมหน้า 14 ประกอบด้วย
1. สำเนาเอกสารรายงานผลการตรวจของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
2. สำเนาเอกสารคณะกรรมาธิการสิทธิมนุยยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภภา
3.สำเนาเอกสารมติคณะกรรมการแพทยสภาที่ได้มีการสอบสวนจริยธรรมแพทย์ที่รับรองการป่วย
ของนายทักษิณ ชินวัตร
4.สำเนาหนังสือ ปปช. วันที่ 16 ธันวาคม ของนายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการ ปปช.
5. เอกสารคำให้การของ พล.ต.อ. เสริพิทธ์ เตมียเวส
6. เอกสารคำให้การต่อ ปปช. ของผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์ ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ 2 ฉบับ
นายชาญชัย กล่าวว่าเอกสารทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นหลักฐานใหม่ แต่เป็นหลักฐานรายละเอียดประกอบคำร้องเดิมของตนเอง ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมือง ไม่ได้มีคำสั่งชี้แจงในชั้นไต่สวนวันที่ 13 มิถุนายน ตนจึงขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้นำเอกสารและบุคคลที่มีอำนาจหน้าที่ชี้แจงในชั้นไต่สวนตามอำนาจของศาลฎีกาพิจารณาต่อไป
นายชาญชัย ระบุว่าที่เดินทางมาวันนี้แม้จะเคยถูกศาลยกคำร้อง ในการกล่าวโทษนายทักษิณ เนื่องจากเป็นผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ตนยอมรับว่าศาลได้พิจารณาถูกต้องแล้ว แต่ในวันนี้ที่ศาลจะมีการพิจารณาไต่สวนเองในวันที่ 13 มิถุนายน เนื่องจากคดีของตนที่ร้องเป็นคดีหลัก และมีพยานหลักฐาน เพิ่มเติมจากอีก 3 ฝ่ายมาให้ถ้อยคำประกอบสำนวนของตนเองจึงสามารถมาดำเนินการตาม ข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมืองพ.ศ 2563 ข้อ 62 ที่ได้อนุญาตให้บุคคลภายนอกมายื่นเรื่องได้
ขณะที่นายสมชาย ระบุด้วยว่า ที่ผ่านมาคณะกรรมาธิการกสม.ของวุฒิสภา ได้สอบเรื่องนี้ไปทั้งหมด 12 ครั้ง และเชิญทุกคนที่เกี่ยวข้องของกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ จำนวนมากมาสอบ รวมถึงส่วนของแพทย์ตำรวจ และ กสม. ผู้แทนป.ป.ช. โดยทั้งหมดเป็นเอกสารที่กมธ.สอบไปแล้วเห็นว่ามีความไม่ถูกต้องตามกฎหมาย จำนวน 222 แผ่น จึงได้ส่งให้ ป.ป.ช.ดำเนินการกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยจากการสอบของ กมธ. ทำให้ทราบว่า ข้อพิรุธมากมาย โดยที่ไม่รู้ว่านายทักษิณป่วยเป็นอะไร และที่ผ่านมาไม่สามารถเรียกตรวจสอบ เอกสารใบเสร็จค่ารักษาพยาบาล กล้องวงจรปิด ชั้น14 เวชระเบียนกว่า 600 แผ่น ใบรายงานจากผู้คุมที่ต้องรายงาน 24 ชม. ตลอด 181 วัน ได้จึงถือว่าเป็นสิ่งที่เป็นพิรุธ ดังนั้นตนเองจึงอยากให้ศาลออกหมายเรียก เวชระเบียน และใบเสร็จรับเงินที่จ่ายเงินทุก7วันว่ารักษาอะไรบ้าง ป่วยวิกฤต ป่วยรักษาตัวอย่างไร มาทำก่รตรวจสอล แล้วเชื่อว่าจะพบข้อเท็จจริงทั้งหมดรวมถึงอยากให้ออกหมายเรียก นพ.ประสิทธิ วัฒนาภา อุปนายกแพทยสภา ที่ลงมติแพทยสภามาไต่สวนด้วย
ด้าน พล.ต.อ. เสริพิสุทธ์ กล่าวว่า ตอนไปเยี่ยมนายทักษิณ 2 ครั้ง ตนได้พบว่านายทักษิณแต่งกายสบายๆ ใส่เสื้อเชิ้ต สวมรองเท้าแตะ ไม่ได้ใส่อุปกรณ์รักษาพยาบาลหรือปลอกพยุงคอใดๆ มีการพูดคุยเรื่องการเมือง เรื่องต่างๆ ยืนยันได้ว่าทักษิณไม่มีสภาพของการเป็นผู้ป่วย ตนสังเกตพบว่าออกซิเจนปลายนิ้วของนายทักษิณอยู่ที่ประมาณ 90% ตรงข้ามกับตอนที่ตนป่วยค่าออกซิเจนปลายนิ้วอยู่ที่เพียง 70% เท่านั้น
ตนขอยืนยันอีกครั้งว่านายทักษิณไม่ได้ป่วย สอดคล้องกับใบเสร็จต่างๆ ที่เป็นเอกสารหลักฐานว่ามีการจ่ายแค่ค่าห้องพัก นายทักษิณได้ใช้โรงพยาบาลเป็นสถานที่รับแขก เพื่อหารือเรื่องต่างๆ ตนเองเป็นคนหนึ่งที่ได้รับความไว้วางใจให้ไปเยี่ยม
แต่ทั้งนี้ตนเองรักประเทศชาติ ประชาชนและสถาบันฯ มากกว่าจึงมีความจำเป็นที่จะต้องมาเปิดเผยเรื่องนี้และเมื่อศาลฎีกาทำการไต่สวน ตนก็ได้จัดทำสรุปทั้งหมด และหลักฐานทั้งหมดให้ศาล รวมทั้งมีรูปประกอบการพิจารณาของศาลในวันที่ 13 มิ.ย. นี้
พล.ต.อ. เสริพิสุทธ์ กล่าวถึงการเดินทางมาศาลของนายทักษิณในวันที่ 13 มิถุนายนว่า ส่วนตัวเชื่อว่านายทักษิณจะไม่เดินทางมาด้วยตัวเองเนื่องจากหากมีคำพิพากษาในวันดังกล่าวที่ไม่เป็นคุณจะทำให้เกิดความสุ่มเสี่ยงต่อตัวนายทักษิณเองฉะนั้นจึงเชื่อว่านายทักษิณจะหลบหนีก่อนวันที่ 13 มิถุนายน
นายนิติธร ระบุว่า คำร้องของทั้ง 4 ท่านที่นำมายื่นต่อศาลเป็นคำร้องในฐานะบุคคลภายนอกแต่อาศัย ข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมืองพ.ศ 2563 ข้อ 62 โดยคำร้องของท่านชาญชัยอธิบายภาพรวมเชื่อมโยงเรื่องราวต่างๆรวมทั้งมีไทม์ไลน์ตั้งแต่วันที่นายทักษิณถึงประเทศไทยไปเรือนจำ ไปโรงพยาบาลตำรวจและจบที่การพักโทษ เป็นการรวบรวมบทสัมภาษณ์ต่างๆและรายงานการตรวจสอบของทุกหน่วยงานส่วนนี้จะเป็นสำนวนหลัก
ส่วนหลักฐานของนายสมชายในฐานะที่เป็นคณะกรรมการที่สอบสวนเรื่องนี้โดยตรง ส่วนนี้จะเป็นหลักฐานสำคัญเพราะเป็นการดำเนินงานตามอำนาจรัฐและผู้ที่ให้ข้อมูลเป็นเจ้าหน้าที่รัฐในสำนวนนี้มีตัวอย่างใบเสร็จการรักษา ซึ่งจะทำให้เห็นกระบวนการรักษาและเชื่อมโยงไปให้เห็นสภาพร่างกายของนายทักษิณ
สำนวนหลักฐานของนพ.ตุลย์เน้นเรื่องการพักโทษอาศัยประสบการณ์ความเป็นแพทย์ที่ยื่นเรื่องนี้ต่อปปช. ที่จะบรรยายเรื่องนี้ให้เห็น ขณะที่ของท่านเสรีพิศุทธ์เป็นประจักษ์พยานปากเดียว ที่จะทำให้เห็นชัดเจนว่าการที่นำผู้ต้องขังออกมารักษานอกเรือนจำจะต้องมีเจ้าหน้าที่ดูแลทุกขั้นตอน แต่ทั้งหมดที่เห็นกลับไม่มี ในวันที่ไปเยี่ยมไม่พบแพทย์,พยาบาล และเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ รวมทั้งสภาพร่างกายของนายทักษิณไม่ตรงสภาพผู้ป่วย
นายนิติธร ยืนยันว่าเอกสารหลักฐานและพยานบุคคลพร้อมที่จะให้ถ้อยคำต่อศาลตามขอบเขตที่ศาลอนุญาต
ด้านนายแพทย์ตุลย์ กล่าวเสริมว่าหากนายทักษิณ มีการป่วยจริงใบเสร็จค่ารักษาพยาบาลจะต้องปรากฏเป็นค่ายาจำนวนมาก แต่ถ้าไม่มีค่ายาตลอด 180 วันเป็นข้อพิรุธที่ศาลสามารถนำไปไต่สวนได้ ซึ่งใบเสร็จค่ารักษาที่ปรากฏ มีแต่ค่าห้องพัก ทั้งนี้มติแพทยสภาเป็นส่วนสำคัญมากในเรื่องนี้ ตนในฐานะเป็นสมาชิกของแพทยสภายืนยันว่าแพทยสภาทำงานอย่างมืออาชีพ ตนเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการไต่สวน วันที่ 13 มิถุนายน เป็นอย่างมาก
“ส่วนที่มีการเปิดเผยห้องสนทนา(กลุ่มไลน์)ของคณะกรรมการแพทยสภา เรื่องการสรุปผลมติการลงโทษกลุ่มแพทย์ที่ทำการรักษานายทักษิณ และมีสมาชิกในห้องสนทนาตอบว่า Yes จากการที่ตรวจสอบตนยืนยันว่าไม่มีจริงแน่นอน การที่นายทักษิณออกมาพูดในลักษณะดังกล่าวแสดงว่าต้องมีฝ่ายใดโกห” นายแพทย์ตุลย์ กล่าว
Advertisement