จากกรณีเกิดเหตุปะทะกันระหว่าง ทหารไทยและทหารกัมพูชา ที่บริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี เมื่อเวลา 05.45 น. วันที่ 28 พ.ค. 68 มีทหารกัมพูชา วัย 48 ปี เสียชีวิต 1 ราย ซึ่งบริเวณพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตที่ยังไม่ได้มีการแบ่งเขตแดนอย่างเป็นทางการ ระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา เป็นพื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายมีการอ้างสิทธิ์ทับซ้อน
จนต่อมา สมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุนเซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กเพจ “Samdech Hun Sen of Cambodia” ประณามยิงทหารกัมพูชาเสียชีวิต พร้อมโวยถูกรุกรานซ้ำรอยปราสาทพระวิหาร สั่งเคลื่อนกำลังประชิดชายแดนไทย หนุนเสริมกำลังป้องกัน ตามที่มีการนำเสนอข่าวไปก่อนหน้านี้
ต่อมาวันที่ 29 พ.ค. 68 ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โพสต์เฟซบุ๊กถึงสถานการณ์ระหว่างไทย และกัมพูชา ที่บริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี “ข่าวการปะทะกันด้วยอาวุธระหว่างทหารกัมพูชากับไทยที่ชายแดนเมื่อวานนี้ ซึ่งรวมถึงการเคลื่อนย้ายทหาร และอาวุธหนักบางส่วนไปยังชายแดนในขณะที่นายกฯ อยู่ต่างประเทศ ทำให้ประชาชนของเราหลายคนวิตกกังวล และไม่มั่นใจเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดน สงครามจะปะทุขึ้นหรือไม่ ใครจะเป็นผู้นำหรือสั่งการเคลื่อนย้ายทหารเมื่อนายกฯ อยู่ต่างประเทศ”
“ข้าพเจ้าขอชี้แจงให้เพื่อนร่วมชาติทราบสั้นๆ ว่า แม้ว่าข้าพเจ้าจะอยู่ที่ญี่ปุ่น และมีการประชุมเชิงปฏิบัติการหลายครั้ง แต่ระบบและลำดับชั้นของการบังคับบัญชาและควบคุมในกรณีสำคัญเช่นนี้ยังคงเป็นความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรี”
“ข้าพเจ้าได้รับรายงานความคืบหน้าทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่ชายแดนผ่านท่านรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ท่านผู้บัญชาการทหารสูงสุด และท่านผู้บัญชาการทหารบก รวมทั้งผลการติดต่อระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา และผู้บัญชาการทหารบกไทย เพื่อป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งลุกลามมากขึ้น และพยายามฟื้นฟูความสงบสุขและความสัมพันธ์อันดีระหว่างกองทัพแนวหน้าของทั้งสองประเทศ”
“ในขณะเดียวกัน ข้าพเจ้าต้องอนุมัติหรือสั่งการการตัดสินใจที่สำคัญทั้งหมด รวมถึงการระดมกำลังทหาร และอาวุธไปที่ชายแดนด้วย”
“ข้าพเจ้าไม่ต้องการเห็นการสู้รบระหว่างกองทัพที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ ต่อประเทศ และประชาชนของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะกองทัพที่ต้องต่อสู้กันโดยตรงในแนวหน้า”
“ในเรื่องนี้ ข้าพเจ้าหวังว่าการพบกันระหว่างผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา และผู้บัญชาการทหารบกไทยในเย็นวันนี้ (29 พ.ค. 68) จะนำไปสู่ผลลัพธ์เชิงบวกในการรักษาความสงบสุขและการสื่อสารที่ดีระหว่างกองทัพแนวหน้าทั้งสองของเรา เช่นเดียวกับที่เคยทำมาในอดีต”
“การเคลื่อนกำลังและอาวุธเข้าชายแดน ถือเป็นการปฏิบัติตามแผนสำรองของกองทัพในการปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชา ซึ่งต้องพร้อมรับมือหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้น”
“ดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้ในเวทีสาธารณะครั้งก่อนๆ กัมพูชาไม่มีเจตนารุกรานประเทศใดๆ และเราต้องการให้ปัญหาชายแดนได้รับการแก้ไขโดยอาศัยเหตุผลทางเทคนิคและกฎหมายระหว่างประเทศ”
“อย่างไรก็ตาม กัมพูชาขอสงวนสิทธิ์ที่จะใช้ทุกวิถีทาง เพื่อปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดนของตน รวมทั้งการใช้กำลังทหาร ในกรณีที่มีการพยายามรุกรานและละเมิดบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชาโดยใช้กำลังทหาร”
“ดังนั้น ข้าพเจ้าขอให้ประชาชนกัมพูชาทุกคนรับทราบข้อมูลและอย่าวิตกกังวลกับข้อมูลที่เผยแพร่ออกไปโดยไม่มีแหล่งที่มาที่ชัดเจน นอกจากนี้ ข้าพเจ้าขอเรียกร้องให้ประชาชนกัมพูชาป้องกันไม่ให้ปัญหานี้ลุกลามกลายเป็นความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ และให้ความไว้วางใจรัฐบาล และกองทัพของเราในการหาทางแก้ไขปัญหานี้ด้วยความรับผิดชอบอย่างยิ่ง”
Advertisement