“พิธา” โชว์วิสัยทัศน์ทิ้งท้ายการอภิปราย “ไม่ใช่แค่เลือกนายกฯ แต่เลือกอนาคตประเทศไทย”
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พูดกล่าวทิ้งท้ายในช่วงประชุมสภาฯ เนื่องจากเหลือเวลาในการอภิปราย 12 นาที
นายพิธา กล่าวว่า ตนรู้สึกเป็นเกียรติสูงสุดในชีวิตที่ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย วันนี้ (13 กรกฎาคม 2566) ห่างจากวันเลือกตั้ง (14 พฤษภาคม 2566) ประมาณ 2 เดือน ตนเชื่อว่าประชาชนได้เห็นวิสัยทัศน์ของตนแล้วผ่านการหาเสียง อาทิ ความต้องการที่ต้องการทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยดีขึ้น การปฏิรูปการศึกษา การคืนครูให้กับห้องเรียน เรียนน้อยได้มาก ดังนั้นการสื่อสารในวันนี้ ไม่จำเป็นต้องสื่อสารถึงประชาชน แต่เป็นถึงนโนบายจึงไม่จำเป็น แต่ต้องสื่อสารกับสมาชิกภายในรัฐสภา
"เป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่อสิ่งใหม่เกิดขึ้น ย่อมถูกต่อต้านจากสิ่งเก่า แต่สุดท้ายผมเชื่อว่าสังคมไทยจะหาจุดลงตัวได้ เป็นจุดลงตัวที่ไม่มีใครได้ทั้งหมด ไม่มีใครเสียทั้งหมด เป็นจุดที่ยอมรับร่วมกันได้ แม้จะไม่เห็นตรงกันทุกเรื่อง แต่จะไปถึงจุดนั้นได้ เราต้องสร้างสังคมไทยให้พร้อมรับความแตกต่าง และนี่คือก้าวที่สำคัญในการสร้างฉันทามติใหม่ สร้างความมั่นคงให้กับประชาชน ไม่ใช่มองประชาชนเป็นศัตรูของชาติ"
ทั้งนี้ สมาชิกภายในรัฐสภามีหลายท่านเคยร่วมงานกับตนมาก่อน ซึ่งตนเชื่อว่าทุกคนมีความต้องการทำให้ประเทศชาติดีขึ้น ดังนั้นการเลือกงดออกเสียง ไม่ใช่ทางออก เพราะประเทศไทยจะไม่สามารถเดินหน้าไปต่อได้
"มีหลายกลุ่มหลายพวกที่พยายามสกัดกั้นผมไม่ให้เป็นนายกฯ เพราะจะเสียผลประโยชน์ จึงดึงสถาบันมาปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง จึงขอให้ทุกคนใช้สติไตร่ตรองให้ดีว่า การทำเช่นนี้มีราคา และมีต้นทุนอย่างไรเพื่อสังคม"
นายพิธา ยังย้ำด้วยว่า วันนี้ไม่ใช่เลือกนายพิธาเป็นนายกฯ แต่เลือกอนาคตของประเทศไทย ขออย่าให้ความแครงใจที่มีต่อตนขัดขวางประเทศไทย ขอให้การตัดสินใจของท่านสะท้อนความหวังของประชาชน
"นี่ไม่ใช่การเลือกผม ไม่ใช่การเลือกพรรค แต่คือการให้โอกาสประเทศไทย คืนความปกติให้กับการเมืองไทย อย่าให้ความคลางแคลงใจที่ท่านมีต่อผม มาขวางกั้นประเทศไทยไม่ให้เดินต่อ ตามเสียงและเจตนารมย์อันแรงกล้าของประชาชน ขอให้การตัดสินใจของท่าน สะท้อนความหวังในตัวประชาชน สะท้อนความหวังในตัวท่านเอง ไม่ใช่สะท้อนถึงความกลัว"
Advertisement