ตลกชั้นบรมครู "อาโน้ต เชิญยิ้ม" ปิดบังอาการป่วยเพื่อนฟ้องมาตลอดหลายสัปดาห์ ก่อนความแตกวันแผ่นดินไหวเมืองกรุงฯ ต้องอพยพลงมาจากห้องรักษาตัวโรงพยาบาลศิริราช งานนี้อาการพ้นช่วงวิกฤตอันตราย ออกมาเปิดใจผ่าน "รายการโต๊ะหนูแหม่ม" เล่าแบบละเอียดถึงอาการป่วย ที่พากันลุ้นหนักมากที่ต้องเฝ้าระวังชิ้นเนื้อร้ายภาวะเสี่ยงเป็นมะเร็ง
อัปเดตอาการป่วย น้ำหนักหายไปกี่กิโล?
"หายไป9กิโลครับ ตอนนี้ก็ดีขึ้น 50-60 เปอรเซ็นต์ครับ แต่ด้วยความที่เราเคยมีพลังมาก ก็มีคิดทำไมพลังงานเราเหลือน้อยกว่านี้ มันไม่เหมือนเดิม อาหารกินไม่ได้เลย เหมือนโดนสาปกินอะไรแล้วมันจะร้อนในปาก ต้องกินอาหารเสริมต้องกินโปรตีน ที่หมอแนะนำ และเราก็ต้องกินยาสามเวลาหลังอาหาร ปกติต้องฉีดยาเข้าเส้นเพื่อฆ่าเชื้อตลอด แต่ว่าตอนนี้หมอให้งดแล้ว ลูกสะใภ้เป็นพยาบาลคอยดูแล"
ขอถามอาการป่วย ที่เข้ารักษาเป็นอะไร?
"คือตอนแรกมันปวดท้อง ปวดท้องตอนที่ครอบครัวไม่อยู่ทุกคนไปญี่ปุ่นกันหมด เราก็นอนปวดอยู่บ้าน คือมันเคยปวดเป็นโรคกระเพาะกินข้าวผิดเวลา คิดว่าปวดธรรมดา สุดท้ายเมียก็พาไปตรวจพาไปอัลตราซาวด์ รอเมียกลับมา จนทั้งบ้านก็พากันไปตรวจ ก็เจอนิ่วในถุงน้ำดีประมาณ 36 เม็ด แต่เราไม่ใช่ตรวจเจอแค่แบบนั้นเหตุการณ์มันบานปลายไปอีก"
มันไปเจออะไร ที่ต้องรักษาเพิ่มเติมคะ?
"พอไปซีทีสแกนดูเห็นปุ๊บ ตับมันผิดสังเกต ก็คือดีกับตับมันใกล้กัน แต่รอบตับเลยไม่มีใครกล้าวิเคราะห์ได้ว่ามันดีหรือร้าย แต่มันอันตรายเค้าไม่กล้ายืนยัน อาจารย์หมอคนไหนก็ไม่กล้ายืนยันว่าเป็นอะไร"
แล้วใช้วิธีการรักษายังไงต่อ?
"คือเอานิ่วออก แล้วดูหน้างานอีกทีตอนผ่าตัดว่าเจออะไรหรือเปล่า อาจารย์หมอที่ศิริราชท่านก็บอกว่าดูหน้างานแล้วกัน ถ้ามันมีตับด้วยผมจะทำต่อเลย เค้าก็มีข้อแม้ว่าจะใช้หมอหรือว่าจะใช้โรบอทในการผ่าตัด ผมเป็นคนคิดเยอะก็เลยบอกว่าเป็นคนดีกว่าเว้ย บังเอิญเราโชคดีได้เจออาจารย์นายแพทย์เก่ง"
พอผ่าไปเจอแล้วเจออะไรบ้าง?
"เค้าเจอว่าตับอันตรายมาก จำเป็นต้องเลาะออก ผ่าตัดรู้สึกว่าอยู่ในห้องผ่าตัดประมาณ 7 ชั่วโมง ความจริงผ่าดี ผ่านิ่วแปบเดียวส่องกล้อง แต่ตั้งนานเพราะต้องค่อยๆเลาะเอาชิ้นเนื้อออกมาเข้าห้องแล็บ"
ใช้เวลานานขนาดไหนกว่าจะทราบเรื่องชิ้นเนื้อ?
"ร่วม10วัน"
ระหว่างช่วง10วันที่รอผล คิดอะไรอยู่?
"ไม่ได้คิดอะไรเลยครับ คิดถึงหลาน คิดถึงลูก และก็คิดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สำคัญที่สุดคือคิดถึงงาน คิดถึงว่าถ้ากูเป็นอะไรไปครอบครัวจะอยู่ยังไงวะ ทั้งชีวิตกูคนเดียวเป็นหัวใจของบ้าน"
พอถึงวันฟังผล วันนั้นรู้สึกยังไงบ้าง?
"วันนั้นอาจารย์หมอแกก็นิ่งๆ เค้าก็บอกว่าผมมีสองเรื่องจะมาพูด เราก็เอาแล้ว..ลูกสาว ลูกชาย ลูกสะใภ้กับจับขาเรา มันมีข่าวดีกับข่าวร้ายจะเอาข่าวไหนก่อน ผมรีบพูดเอาข่าวดีครับ ข่าวดีก็คือมันไม่ใช่เนื้อร้าย ทุกคนเฮ ผมมันก็ร้องไห้ มันก็เสียงสั่น ข่าวร้ายก็คือคุณต้องอยู่โรงพยาบาลต่อ เพราะหลังจากนั้นต้องต่อเอาสายยางระบายเลือด ต้องสวนท่อปัสสาวะตลอด 24 ชั่วโมง รักษาตัวอยู่อาทิตย์กว่า แต่จริงๆคุณหมอบอกให้อยู่เดือนนึง"
ทำไมปิดเรื่องป่วยไม่บอกเพื่อนในวงการ?
"ผมเกรงใจคนที่ต้องมาเป็นทุกข์กับเรื่องของเรา เมื่อไรมันจะหายว่ะ เมื่อไรมันจะอย่างโน้นอย่างนี้ ผมคิดสารพัดนั้นประเด็นแรก ประเด็นที่สองคนที่ไม่ชอบเราเขาก็จะเหนื่อย มันไปซักที มันตายซักที กลัวเค้าจะเหนื่อยในการแช่งเรา แล้วเรามันก็ดื้อซะด้วยใครแช่งยิ่งไม่เป็นอะไร (หัวเราะ) อันนี้คือความคิดของเราจริงๆก็เลยบอกกับลูกบอกกับเมีย อย่าลงภาพเพราะเราไม่อยากให้ใครเห็นความภาพในความเจ็บป่วยของเรา"
เห็นว่าขายรถ ขายนาฬิกา รักษาอาการป่วยตัวเอง?
"พอกลับมาก็เอาเงินมากองไว้เลย ไม่อยากให้ใครเค้าต้องมาช่วยเรา เราจะใช้เงินเรารักษาตัวเราเอง เพราะเงินและทรัพย์สินที่เรามีอยู่เนี้ย เราอีกได้มาจากรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ เราจะเอารอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากที่ประชาชนทั้งประเทศให้มา เยียวยาตัวเรา เพื่อเราจะกลับมาคืนรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้ประชาชน อันนี้ไม่ได้พูดเอาดีเอาเท่ห์นะทำแบบนี้จริงๆ พูดแบบว่าทุกคนห้ามขัดนะ แล้วป๋าจะเอารถที่ไหนใช้ คือกูนอนโรงพยาบาลกูจะขับรถไปไหนล่ะ เราก็บอกแบบนี้แล้วขายไปเลย เท่านั้นเอง"
เหนือสิ่งอื่นใด ทำพินัยกรรมไว้ด้วย?
"ก็ไม่ถึงกับพินัยกรรมหรอกครับ แต่ได้สั่งไว้ว่า จำไว้นะลูกเกิดเป็นคนรู้จักบุญคุณคน กตัญญูไม่โกงคน นั้นคือสมบัติที่พ่อมีอยู่ เท่านั้นเองครับที่ผมบอก จะบอกว่าป๋าไม่เป็นอะไรแน่นอน แต่ถ้าป๋าเป็นอะไรจำไว้ ที่ป๋าอยู่วงการนี้ได้เพราะไม่เคยโกงใคร และบุญคุณคนมันสุดล้ำมาก มันไม่สามารถจะพูดเป็นภาษาได้ แค่ใครให้งานเราทำ มันเป็นบุญคุณมาก"
Advertisement