จากกรณีนายไพศาล เรืองฤทธิ์ ทนายความ และนายจีรพันธ์ เพชรขาว หรือ หมอปลา นำผู้เสียหายมายังกระทรวงสาธารณสุข เพื่อร้องเรียนให้ตรวจสอบศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดที่วัดแห่งหนึ่งใน อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี หลังพบว่าไม่เป็นไปตามกฎระเบียบของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด และช่วยทั้งหมดออกจากศูนย์นั้น
ทีมข่าวลงพื้นที่วัดถ้ำกระบอก อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี สถานที่บำบัดผู้ติดสิ่งเสพติดมายาวนานกว่า 60 ปี ตั้งแต่ พ.ศ.2503 พระอาจารย์องอาจ ปภากโร พระผู้บริหารจัดการดูแลผู้บำบัดผู้ติดยาเสพติด วัดถ้ำกระบอก บอกว่า ที่นี่รับทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยที่ไม่ได้มองว่าผู้ติดยาเสพติดเป็นผู้ผิด มองว่าเขาเป็นมนุษย์เหมือนกัน แค่เขาหลงกรรม ติดกรรมก็เท่านั้น ซึ่งการที่เขาเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ก็เพื่อหยุดกรรม เพื่อให้เขาเองมีทางเดินที่ดี และให้ครอบครัวมีความสุข
โดยกระบวนการดูแลของที่นี่ ต้องเข้าบำบัดเป็นคอร์ส คอร์สละ 15 วัน โดยยึดหลักรับสัจจะ คือ รับปากว่าจะไม่สูบ ไม่เสพ ยาเสพติดทุกชนิด ไม่ส่งเสริมผู้อื่น ไม่ทำการค้าตลอดชีวิต แต่ถ้าใครคิดว่าตัวเองทำได้ใน 15 วันก็สามารถออกไปได้ แต่ถ้าใครคิดว่า 15 วันไม่พอ ก็สามารถอยู่ต่อได้เรื่อย ๆ ไม่มีการบังคับ ให้อิสระทางความคิดและความพึงพอใจของผู้เข้ารับการบำบัด เพราะจะยึดหลักพระพุทธศาสนาเรื่องสัจจะ ที่พระอาจารย์เป็นผู้ให้ตั้งแต่ช่วงแรกที่เข้ามาเป็นหลัก หากทำได้ก็หลุดพ้น หากทำไม่ได้ก็รับกรรมอันเกิดจากการผิดสัจจะไป โดยการรับสัจจะนั้นจะให้โอกาสผู้เข้ารับการบำบัดรับแค่ 1 รอบใน 1 คอร์ส ผู้บำบัดจะต้องรักษาให้ได้และนำไปใช้ตลอดชีวิต
ตลอดการบำบัดที่นี่ไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าใช้บริการ ฟรีเสื้อผ้าซึ่งเป็นยูนิฟอร์มให้ 2-3 ชุดต่อคอร์ส แต่ละชุดจะมีตัวเลขกำกับ เพื่อง่ายต่อการจดจำของพระพี่เลี้ยงในการดูแล ชุดจะเป็นเสื้อโคร่งแขนสั้น กางเกงสามส่วนสีขาว สำหรับผู้บำบัดใหม่ 5 วันแรก ส่วนสีแดงสำหรับผู้บำบัดที่อยู่เกิน 5 วัน
ทั้งนี้ ยังฟรีในส่วนของยาบำบัด เป็นยาสมุนไพรทุกวัน ตลอด 15 วัน แต่ละวันจะแตกต่างกัน แบ่งเป็น 1.ยาตัดน้ำ กินแล้วอาเจียน โดยจะกินในช่วง 5 วันแรก ทุกวัน วันละ 1 ครั้ง เวลา 15.00 น., 2.ยาตัดเม็ดหรือยาลูกลอน กินแล้วช่วยขับระบบขับถ่ายของเสีย กินทุกวัน ตลอด 15 วัน, 3.ยาบำรุงสมุนไพร 108 กินทุกวัน ตลอด 15 วัน, 4.อบตัวด้วยสมุนไพร เพื่อขับเหงื่อและสิ่งสกปรกในร่างกายทุกวัน ตลอด 15 วัน
ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นที่ต้องจ่ายแรกเข้าก็จะเป็นค่าอาหารตลอด 15 วัน เป็นเงิน 3,000 บาท เงินตรงนี้จะนำไปเปลี่ยนเป็นคูปองให้กับผู้บำบัด เพื่อนำไปแลกซื้ออาหารเที่ยงและเย็น เป็นอาหารตามสั่งจากร้านชาวบ้านที่มาเปิดร้านขายในวัด ส่วนอาหารเช้า ส่วนใหญ่จะได้กินข้าวก้นบาตร มีปริมาณที่เพียงพอ
เมื่อถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสถานบำบัดใน จ.กาญจนบุรี ก็ไม่ได้อยากมองเขาในแง่ลบ แต่มองว่าคงผิดพลาดที่ระบบการจัดการ เพราะจากภาพข่าวที่เห็น การกระทำของผู้คุมที่มีต่อผู้บำบัดมันไม่เหมาะสมกับความเป็นมนุษย์ด้วยกัน แล้วยิ่งผู้คุมเป็นพระ ยิ่งต้องมีจิตใจเมตตาแก่ผู้ที่มีกรรม มิใช่เห็นแก่ปัจจัย แล้วยิ่งปัจจุบันมันเข้าถึงง่าย ราคาถูก ซื้อขายกันง่าย ก็ยิ่งมีผู้หลงผิดเยอะ พอมีผู้หลงผิดเยอะ ก็ต้องการสถานที่บำบัด ยอมรับว่าในฐานะพระสงฆ์ที่ดูแลผู้บำบัดมาตลอด เห็นภาพในข่าวก็ไม่สบายใจ ทำให้ย้อนนึกถึงตัวเองว่าถ้าเข้าไปอยู่ในสถานบำบัดแห่งนั้นจะเป็นอย่างไร คงเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้ชีวิตได้
ทั้งนี้ เคยมีโอกาสได้คุยกับผู้บำบัดที่เคยเข้าไปอยู่ในที่แห่งนั้นแล้วย้ายเข้ามาบำบัดที่นี่มาบ้างแล้ว ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าแตกต่างมาก หากมาที่นี่ตั้งแต่แรกก็คงจะดี ซึ่งตรงนี้มิใช่การโฆษณา แต่สามารถพิสูจน์ได้จริง เพราะที่แห่งนี้ดูแลกันอย่างอิสระ ภายใต้กฎเกณฑ์ 2 ข้อคือ
1. หากมีการทะเลาะเถียงกัน จะลงโทษด้วยการให้จับคู่เอาผ้าขาวม้ามัดแขนติดกัน ให้ใช้ชีวิตด้วยกันตลอดทั้งวัน จะมีการตีด้วยมือคนละ 1-2 ครั้ง เพื่อเป็นการสั่งสอน หากหนักกว่านั้นจะมีการเรียกผู้ปกครองมารับรู้
2. หากผู้ปกครองต้องการมาเยี่ยมก็ทำได้ ต้องทำเรื่องเข้ามาก่อน เยี่ยมได้หลังจาก 5 วันแรก เพราะช่วงนี้จิตใจของผู้บำบัดจะค่อนข้างรวนเร สามารถเปลี่ยนใจได้ง่าย ต้องปล่อยให้เขาเข้มแข็งก่อน แต่สามารถโทรมาถามกับพระพี่เลี้ยงได้ ส่วนเมื่อผ่าน 5 วันไปแล้ว ก็สามารถเข้ามาเยี่ยมได้ทุกวัน เวลาที่เหมาะสมคือ 10.00-18.00 น. ระหว่างที่เจอกับผู้บำบัดห้ามใช้โทรศัพท์ เพราะป้องกันไม่ให้ผู้บำบัดโทรหาบุคคลภายนอก ป้องไม่ให้เกิดปัญหาวุ่นวายหรือหลบหนี
อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องทำในช่วงนี้คือ ผู้บำบัดใหม่จะต้องมีใบรับรองแพทย์ผลการตรวจโควิด-19 ยืนยันก่อน เมื่อถามในสถานบำบัดแห่งนี้เคยมีคนตายไหม ก็ยอมรับว่ามี แต่มิเกิดจากกระบวนการบำบัด ส่วนใหญ่จะตายเพราะโรคประจำตัวที่มีมาตั้งแต่แรก เพราะเขาอยากยามากแล้วร่างกายรับไม่ไหว สุดท้ายก็ขาดใจตาย บางรายก็ไหลตายขณะนอนหลับ แต่ปัจจุบันพยายามจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น หากอาการหนักก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการรักษาโดยแพทย์ แล้วค่อยมาบำบัดทีหลัง
นายเงิน (นามสมมติ) อายุ 15 ปี ชาว จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งปัจจุบันเป็นเด็กวัดให้กับพระในวัด เพราะเตรียมจะเข้ารับการบำบัดยา เจ้าตัวเปิดเผยว่าตัวเองเคยเข้าไปเข้ารับการบำบัดในสถานที่ที่กำลังเป็นข่าวใน จ.กาญจนบุรี โดยเข้าไปเมื่อต้นเดือนสิงหาคม เนื่องจากโดนจับกุมในฐานะผู้เสพ แต่อายุยังน้อย จึงถูกส่งเข้าไปยังสถานบำบัดดังกล่าวที่ จ.กาญจนบุรี และเพิ่งจะได้ออกมาเมื่อวันที่ 11 ก.ย. 64 ตนเห็นกับตาเลยว่าตอนที่เข้าไปผู้ปกครองต้องจ่ายเงินให้กับสถานบำบัดเป็นเงินจำนวน 10,000 บาท และก่อนจะออกก็ต้องจ่ายให้อีก 10,000 บาท ทุกคนที่อยู่ในนั้นล้วนแต่ได้รับความทรมานทั้งหมด แทบจะเป็นบ้ากันหมด เพราะกินข้าวก็ได้กินแค่วันละ 1 ครั้ง ไม่มีรสชาติ แทบจะไม่มีเนื้อสัตว์ น้ำก็ไม่สะอาด
นอกจากนี้ผู้คุมและพระก็ยังมีพฤติกรรมแปลก เช่น เอากระบองไม้เท่าท่อนแขนมาตีตน โดยที่ตนไม่ได้ทำผิดอะไร บางครั้งเวลาตนโดนแย่งอาหารและเกิดการทะเลาะกัน เขาก็จะเข้ามาตี ไม่มีการตักเตือน ตีซ้ำ ๆ จนทำให้ห้อเลือด เจ็บจนดิ้น และทรมานมาก
และบางครั้งยังมีกลุ่มผู้บำบัดที่มีพฤติกรรมตุ้งติ้ง เข้ามาลวนลามตน ชวนตนไปมีเพศสัมพันธ์ เข้ามาในลักษณะหลอกล่อ เช่น ถึงเนื้อถึงตัว จับแขน จับขาตน จับอวัยวะเพศตน แต่ตนไม่เล่นด้วยจึงพยายามหลบหลีก แต่ในขณะเดียวกันตนก็เห็นว่ามีคนบางคู่บางกลุ่มที่มีเพศสัมพันธ์กันภายในห้องนอนตรงนั้น ทำให้ตนทนไม่ไหวจึงต้องแจ้งตำรวจที่เข้ามาส่งผู้บำบัดรายใหม่ว่าอยากจะขอออก เพราะอยู่ต่อไปก็เหมือนตายทั้งเป็น
