กรณีเฟซบุ๊กของกู้ภัยรายหนึ่ง โพสต์คลิปเรื่องราวของครอบครัวที่ติดต่อเข้ามา ขอให้ช่วยเหลือนำคุณพ่อ อายุ 74 ปี ส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลด่วนแต่กลับถูกเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลปฏิเสธรับเข้ารักษา ให้เหตุผลว่าเตียงเต็ม พร้อมปิดประตูห้องฉุกเฉินใส่ทันที
ขณะที่ลูกสาวของชายชรา ก็ได้ร้องไห้ออกมา พร้อมกับตะโกนขอความช่วยเหลือ หลังค่าออกซิเจนของคุณพ่อเหลือแค่ 40 จนสุดท้ายกู้ภัยต้องไปเรียกพยาบาลมาอีกรอบ เพื่อให้ช่วยปั๊มหัวใจ แต่สุดท้ายพยายาลและทีมแพทย์เห็นท่าไม่ดี จึงได้รับตัวเข้ารักษา แต่อยู่ได้ไม่ถึงคืนชายคนดังกล่าวก็เสียชีวิต
ล่าสุดวันที่ 3 ส.ค.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี มีโอกาสต่อสายตรงวิดีโอคอลกับ คุณอมรรัตน์ (สงวนนามสกุล) อายุ 50 ปี ผู้เป็นลูกสาว เล่าให้ฟังว่า สำหรับเหตุการณ์ในคลิป เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 ส.ค.64 ที่ผ่านมา ช่วงเวลาประมาณ 19.00 น. ภายหลังที่นายสันติ ผู้เป็นพ่อ รับประทานอาหารเสร็จ แล้วลุกเข้าห้องน้ำ ก่อนจะออกมาแล้วบ่นว่าเหนื่อย ๆ พร้อมกับมีอาการหายใจติดขัด ทำให้ตนรู้สึกกังวล จึงตัดสินใจโทรศัพท์เรียกรถกู้ภัยมารับตัวไปส่งที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ย่านเพชรเกษม ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่คุณพ่อได้ตรวจหาเชื้อโควิด-19 แบบจ่ายเงินค่าตรวจเอง 3,000 บาท ก่อนจะทราบว่าติดเชื้อโควิด-19
"แต่พอไปถึงหน้าห้องฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่กลับปฏิเสธที่จะรักษา อ้างแค่ว่าเตียงเต็ม พร้อมบอกให้ไปใช้สิทธิ์ตามบัตรทอง ซึ่งฉันก็ได้ติดต่อไปยังโรงพยาบาทตามสิทธิ์บัตรทอง กลับพบว่าทางโน้นเองแจ้งว่า หากตรวจพบที่ไหน ก็ให้เข้ารักษาที่โรงพยาบาลนั้น มันเหมือนโยนกันไปโยนกันมา มีชีวิต 1 คนเป็นเดิมพัน สุดท้ายหลังจากที่เจรจากัน พ่อก็เริ่มหายใจติดขัด ค่าออกซิเจนต่ำลง ใกล้หมดสติ แต่ก็ยังไม่มีทีมแพทย์เข้ามาปฐมพยาบาล" ลูกสาวผู้เสียชีวิต กล่าว
สำหรับครอบครัวนี้ จะอยู่ในบ้านหลังใหญ่ด้วยกัน 2 คน ขณะที่ลูก ๆ อีก 2 คน จะแวะเวียนมาเยี่ยมตลอด ต่อมาในวันที่ 22 ก.ค.64 ที่ผ่านมา นางผ่องพันธ์ อายุ 76 ปี ผู้เป็นแม่ มีอาการผิดปกติ ไข้ขึ้นสูง มีอาการอ่อนเพลีย จึงตัดสินใจไปตรวจหาเชื้อโควิด-19 ที่โรงพยาบาล พบว่าผลตรวจออกมาพบเชื้อโควิด-19 ก่อนที่แพย์จะรับเข้ารักษาเป็นการด่วนในวันนั้นทันที
ทั้งนี้อาการของคุณแม่ มีไข้ขึ้น หายใจไม่ออก เหนื่อง่าย แต่ยังรับรสได้ ขณะที่โรคประจำตัวมีแต่โรคความดัน ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 หลังจากเข้ารับการรักษาตัวได้ 7 วัน คุณแม่ก็ได้เสียชีวิต จากอาการเชื้อลงปอด
ขณะที่คุณพ่อ หลังทราบว่าภรรยาติดเชื้อโควิด-19 ในวันที่ 22 ก.ค.64 ก็ได้กักตัวเพื่อดูอาการจนวันที่ 27 ก.ค.64 เริ่มมีอาการหายใจติดขัด จึงตัดสินใจไปตรวจที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง พร้อมจ่ายค่าตรวจ 3,000 บาท หลังจากนั้นกลับไปรอที่บ้าน ประมาณวันที่ 29 ก.ค.64 ผลตรวจออกมาพบว่าติดเขื้อโควิด-19 ทางครอบครัวก็ติดต่อไปยังโรงพยาบาลที่ตรวจ แต่ก็ไม่ได้รับการติดต่อกลับ ทราบเพียงว่าเตียงเต็ม จึงตัดสินใจรักษาตัวที่บ้าน ไม่อยากให้คุณพ่อไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลสนาม ประกอบกับคุณพ่อก็บอกว่ายังไหว ยังไม่มีอาการผิดปกติ กระทั่งเกิดเหตุการณ์ตามที่ปรากฏตามคลิปดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม คุณอมรรัตน์ ยังกล่าวด้วยว่า "ส่วนตัววันนั้นรู้สึกโกรธและเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่อยากจะพูดอะไรถึงโรงพยาบาลแล้ว เพราะพูดไปเขาเองคงไม่รับรู้อะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น เชื่อว่าหากเขาทำดีกว่านี้ พ่อของฉันคงไม่เสียชีวิต หรือมีโอกาสรักษาหายก็ได้ ขณะที่หลังเกิดเรื่องทางโรงพยาบาลก็ไม่ได้ติดต่อมา มีแค่ติดต่อมาเพื่อเรียกเก็บเงินค่าถุงซิปล็อกห่อศพ จำนวน 1,700 บาท"
นอกจากนี้ หากจะถามตนว่าอยากเรียกร้องอะไรหรือไม่ ตนไม่อยากจะเรียกร้องอะไร พูดไปก็เหนื่อยเปล่า ตนเชื่อว่าพูดไปเขาเองก็คงไม่ทำอะไร เพราะที่ผ่านตนก็เห็นว่ามีหลาย ๆ เคสที่เป็นเเบบนี้ หลังจากนี้ ตนอยากให้เขาพิจารณาไม่ว่าจะเคสไหนเข้าไป ก็ขอให้ช่วยดูแลเขาก่อน อย่าเพิ่งไล่ผู้ป่วยกลับบ้าน และอย่าโยนกันไปโยนกันมาแบบนี้
ทีมข่าวได้เดินทางไปยังโรงพยาบาลดังกล่าว ได้รับคำชี้แจงจากทีมแพทย์ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางผู้ใหญ่ของโรงพยาบาล ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว ยืนยันว่าโรงพยาบาลยังรับเคสฉุกเฉินตามปกติ แต่ที่ล่าช้าเพราะเมื่อมีเคสเข้ามา ทางพยาบาลและทีมแพทย์ต้องเซฟตัวเอง จึงต้องเตรียมตัวเพื่อเปลี่ยนชุดป้องกันก่อนออกไปช่วยเหลือ ซึ่งไม่ได้ปิดประตูไม่รับผู้ป่วย
โดยที่โรงพยาบาลแห่งนี้ จากเดิมมีเพียง 148 เตียง เมื่อมีสถานการณ์โควิด-19 จึงต้องเพิ่มเตียงเป็น 240 เตียง แบ่งเป็นผู้ป่วยโควิด-19 จำนวน 220 คน และผู้ป่วยเคสทั่วไป-ฉุกเฉิน จำนวน 20 คน โดยดัดแปลงห้องทำงานบางห้องเป็นห้องที่รองรับผู้ป่วย ขณะที่คนไข้มาตรวจหาเชื้อโควิด-19 ตกวันละ 1,000 ราย พบเชื้อวันละ 100-200 คน แต่ในส่วนของคนป่วยที่หายจากโรคโควิด-19 มีเพียงวันละ 20-30 คน ต้องบอกว่าเตียงค่อนข้างเต็มจริง ๆ ไม่ใช่โรงพยาบาลไม่อยากรับ
