อัปเดตชีวิต เปิ้ล หัทยา หลังครบรอบ 1 ปี เดินหน้าทำช่องยูทูบ สานต่อไอเดีย ตั้ว ศรัณยู

16 ก.ค. 64

สาวแกร่งแห่งปี เปิ้ล หัทยา ที่ต้องกลายเป็นเสาหลักของครอบครัว เป็นซุปเปอร์มัมดูแลลูกทั้งสองคน น้องหนุน-น้องหนัง และยังต้องดูแลลูกน้องในบริษัทอีกหลายชีวิต ล่าสุดได้มาเยือนรายการ ต้มยำอมรินทร์ คุณแม่สุดแกร่งได้เล่าให้ฟังว่าถึงเรื่องการปรับตัวครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตที่ต้องเสียคนที่รักที่สุดไป และต้องรับมือกับสถานการณ์โควิดที่กำลังวิกฤตอยู่ ณ ตอนนี้ พร้อมทั้งยังเผยอีกบทบาทที่เพิ่งเกิดมาเร็วๆ นี้คือการเป็นยูทูบเบอร์เปิดช่องของตัวเอง สานต่อไอเดียจากสามีสุดที่รัก ตั้ว ศรัณยู

s__73809939

ถาม พี่เปิ้ลต้องปรับตัวยังไงบ้างจากโควิดที่เกิดขึ้น

เปิ้ล หัทยา : ปรับตัวตั้งแต่ปีที่แล้ว ก็ต้องปรับตัวและต้องสู้กันต่อไป ถามว่าปรับอะไร เราต้องปรับทุกอย่างเลยค่ะ เพราะว่าเราเป็นผู้ที่ต้องดูแลคนหลายคน ลูกน้องบริษัท เราก็ต้องแบกเอาไว้ทุกอย่าง อย่างคลื่นวิทยุที่เราทำคือรายการสดใช่ไหมคะ เราก็ต้องติดต่อประสานกับลูกค้า มีกิจกรรมที่วางเอาไว้ พอเจอเหตุการณ์แบบนี้ก็ต้องเลื่อนๆ ขยับไปจนหมดเลยค่ะ เรียกว่าเจอแรงกระทบแบบเต็มๆ เราก็ต้องคุยกับน้องๆ พนักงาน ลดเงินเดือนน้องๆ แล้วก็คุยให้เขาเข้าใจ ซึ่งน้องๆ ในบริษัทก็เข้าใจ แล้วเราก็แบ่งว่าเราจะเข้ามาทำงานอะไรยังไงกัน เพราะว่างานก็น้อยลงเพราะอีเว้นท์และคอนเสิร์ตก็จัดไม่ได้ ทุกอย่างคือเลื่อนออกไปหมดเลย แต่ก็ยังสู้กันอยู่ค่ะ

ถาม แต่ตอนนี้คือพี่เปิ้ลก็มีงานอีกอย่างหนึ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือการเป็นยูทูบเบอร์

เปิ้ล หัทยา : ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ เชื่อไหมว่าลูกขำเลยที่เรามาทำตรงนี้ แล้วเขาก็แซวว่าอายุจะเลขหกอยู่แล้ว ทำไมแม่ยังมาทำยูทูบ แต่จริงๆ เป็นอะไรที่ใครๆ ก็ทำได้ ชื่อรายการชื่อว่า หัทยาวง ทำก่อนที่พี่ตั้วจะไม่สบาย เขาบอกเราว่าเราต้องทำอย่างอื่นด้วย เพราะเราเป็นคนสะสมกางเกงยีนส์ก็เยอะ เสื้อยืด ผ้าพันคอ เนคไท หมวก แว่นตา พี่ตั้วเขาก็เคยบอกเราว่าเราสะสมของเยอะแบบนี้ เราน่าจะไปทำอะไรที่มันมีประโยชน์สิ เป็นไอเดียวจากพี่ตั้ว เลยค่ะ เราก็มานั่งคิดว่าเราจะทำยูทูบเกี่ยวกับอะไรดี เพราะเราก็อยู่ในวงการบันเทิง วงการกีฬา เราชอบกีฬาก็เลยไปคุยกับเพื่อนๆ ก็เลยได้ชื่อ หัทยาวง มาก็จะทำตั้งแต่ต้นๆ ปีที่แล้ว ก็ยังไม่ได้ทำเพราะว่าพี่ตั้วไม่สบายค่อนข้างจะหนัก เราก็เลยพักโปรเจกต์ไว้ก่อน ซึ่งตอนนั้นเราก็ยังไม่ได้บอกใครเลยว่าพี่ตั้วป่วย จริงๆ มีเพื่อนๆ ทราบอยู่ ก็มาเยี่ยมกันอะไรกัน แล้วพาตั้วออกมาจากโรงพยาบาลแล้วครั้งหนึ่ง ออกมาทำงานแล้วด้วยนะคะ แต่ก็มาทรุดอีกช่วงหนึ่งคือกุมภาพันธ์ มีนาคม เพราะคุณหมอบอกว่าไวรัสตับอักเสบบีที่พี่ตั้วเป็นอยู่มันกลายพันธุ์นะ เราก็ทำใจแล้ว พี่ตั้วเขาก็บอกว่าเราก็รักษาของเราไป ไม่ต้องไปบอกคนอื่นหรอก เพราะว่าโควิดที่เข้ามาก็ทำให้เขาไม่สบายใจกันแล้ว

ถาม แล้วกลับมาเริ่มต้นทำ YouTube เมื่อไหร่

เปิ้ล หัทยา : หลังจากงานพี่ตั้วเสร็จเรียบร้อย เราก็พักไปนานมาก พักไปจริงๆ จนเรามามองตัวเองว่าเราจะเป็นแบบนี้เหรอ ตอนนั้นคือเหี่ยวเฉาและโทรมมาก ทุกคนก็จะแบบห่วงเรา ให้เรากินเยอะๆ หน่อย

ถาม ตอนนั้นที่หยุดพักไป เพราะพี่ตั้วป่วย แต่ ณ ตอนนี้ ช่อง หัทยาวง YouTube มาถึง EP. ที่ 20 กว่าแล้ว แต่ว่า EP. ที่พีคที่สุดคือ EP.0

เปิ้ล หัทยา : หลังจากที่เราห่อเหี่ยวอยู่ เราก็รู้สึกว่าเราต้องลุกขึ้นมาทำงาน ก็เริ่มต้นจาก YouTube เราก็คุยกันว่าเริ่มต้นที่ EP.0 ความทรงจำไม่เคยสูญหาย ซึ่งเราก็พูดถึงว่าการที่เรามาทำ YouTube ก็เพราะพี่ตั้ว พูดถึงเรื่องราวและความทรงจำทั้งหมดถึงพี่ตั้วว่ามันจะไม่มีวันสูญหายไปเลย

s__73809934

ถาม แล้วจริงๆ คอนเซ็ปต์ของการทำรายการ หัทยาวง คืออะไร

เปิ้ล หัทยา : วงจรชีวิตของเราที่เราไปพบเจอมา ในวงการบันเทิง วงการดนตรี เราก็จะพาไปดูคอนเสิร์ต ดูเบื้องหลังในการทำคอนเสิร์ตว่าเป็นอย่างไร มีวงการความสวยความงาม วงการกีฬา ก็ค่อนข้างจะวาไรตี้ แต่ทุกอย่างมันคือวงจรชีวิตของเราค่ะ ซึ่งตอนแรกเราคิดจะทำแค่ 10 EP. เองนะคะ เพราะว่าเราคิดว่าเราจะไปทางไหนได้บ้าง แล้วทำไปแล้วจะซ้ำไปซ้ำมาหรือเปล่า แต่สุดท้ายเราได้เจอลูกค้า แล้วลูกค้าเขาก็ให้โจทย์เรามา เราก็คิดงานให้ลูกค้า แล้วพอเราทำมาเรื่อยๆ ทำให้เรารู้สึกว่าเรามีมุมมองที่กว้างขึ้น

ถาม พี่เปิ้ลเป็นเจ้าแม่แฟชั่นมากๆ

เปิ้ล หัทยา : เป็นคนที่ชอบแต่งตัว เพราะเรารู้สึกว่าเราสนุก แล้วก็แต่งตัวให้เกียรติกับสถานที่ อย่างเราจะไปเจอลูกค้า เราก็เรียบร้อยหน่อย หรือถ้าเราไปงานที่มันสามารถสนุกได้ เราก็แต่งตัวให้สนุกเต็มที่ แม้ในใจของเราจะมีความเศร้าอยู่ แต่เราก็ต้องมองไปข้างหน้า ซึ่งการแต่งตัวทำให้เรามีชีวิตชีวา และสนุกกับการดำเนินชีวิต เพราะว่าตอนเด็กเราอยากเรียนทางด้านการแฟชั่นดีไซน์ แต่เพราะว่าคุณแม่ไม่ยอม เราก็เลยไม่ได้เรียน เป็นคนที่เชื่อฟังคุณแม่มากเลย (หัวเราะ) ซึ่งคุณแม่อยากให้เราเรียนเศรษฐศาสตร์มาก เพราะเขาอยากให้เราเรียนเกี่ยวกับด้านการเงิน เราก็เลยบอกแม่ว่าเรียนทางด้านไหนก็เหมือนกัน เพราะยังไงเราทำงาน เราก็จะได้เงินเหมือนกัน ก็เลยมาเรียนด้านกราฟิกดีไซน์ เราก็อธิบายให้คุณแม่ฟังว่าคอมพิวเตอร์เข้ามาเยอะแล้ว เราเรียนทางนี้ เราก็สามารถเอาไปพัฒนาทำอะไรได้อีก สำหรับการที่เราตัดสินในเรียนกราฟิกดีไซน์ เมื่อ 30 ปีที่แล้ว มาถึงตอนนี้ พี่เปิ้ลว่าได้ใช้นะ

ถาม กลับมาถามเรื่องพี่ตั้ว เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ครบรอบ 1 ปีที่จากไป เห็นว่าให้น้องหนุน น้องหนัง ร้องเพลง

เปิ้ล หัทยา : ตอนแรกที่เราคิดไว้คือจะทำบุญเลี้ยงพระ เชิญญาติทางฝั่งพี่ตั้ว พี่เปิ้ล มาร่วมทำบุญกัน เราก็ไม่คิดว่าเราจะเจอโควิดระลอกที่สาม พอเกิดโควิด เลยต้องยกเลิกไป เราก็เลยมามองว่าเรามาทำอะไรกันดี น้องหนุนก็บอกว่าเราทำอะไรเงียบๆ ดีไหมคะคุณแม่ เราก็คิดกันว่าจะร้องเพลงที่พี่ตั้วเคยแต่งไว้ให้พี่เปิ้ลเมื่อ 27 ปีที่แล้ว เป็นเพลงมุมความรักแบบบวกๆขอบคุณที่ความรักทำให้เรามาเจอกัน ขอบคุณที่มีฟ้า มีดวงดาว ทำให้เราได้เห็นความสว่างไสว เราก็ได้คุยกับน้องหนุน ด้วยความที่ดนตรีเมื่อ 27 ปีที่แล้ว มันก็นานมาก เลยต้องทำใหม่ ก็เลยยกหูโทรหา หนึ่ง จักรวาล แล้วก็ส่งเพลงให้หนึ่งฟัง แล้ววันรุ่งขึ้น เขาก็โทรมาบอกว่าพี่เปิ้ลครับ ผมเล่นเปียโนให้ใหม่ทั้งหมดเลย พี่ลองฟังดูนะครับ พอเรากับน้องหนุนได้ฟังคือ รู้สึกเซอร์ไพร์สมากๆ เลยค่ะ เราก็เลยไปเข้าห้องอัดร้องเพลงกันเลย แล้วพอเราเห็นว่าไหนๆ ทำเป็นเรื่องเป็นราวพอสมควรแล้ว เราก็เลยมาปรึกษาลูกน้องพี่ตั้ว เอาภาพของพี่ตั้วที่ถ่ายมาเป็นพันๆ ม้วน เป็นภาพครอบครัวนะคะ ก็เอาภาพทั้งหมดมาผสมอยู่ในเพลงเป็นมิวสิควิดีโอแล้ว น้องหนุนก็เลยไปเปิด YouTube ของเขาเลย ใช้ชื่อ Suparawongk ใครที่อยากฟังเพลง รักเธอ รักเธอคนเดียว ฟังได้ใน YouTube ของน้องหนุนนะคะ

ถาม จริงหรือเปล่าที่ตอนนี้เป็นเจ๊ดันแล้ว

เปิ้ล หัทยา : ไม่ใช่เลยค่ะ ถ้าดันก็ต้องดันนานแล้ว จริงๆ แล้ว YouTube ของน้องหนุนมีขึ้นเพราะว่าเขาเป็นคนชอบร้องเพลง แล้วพี่เปิ้ลก็รู้สึกว่าเขาก็เป็นอิสระดีในช่องของเขาเอง เขาอยากทำอะไรที่เขาอยากทำ เพราะเขาเรียนทางด้านมิวสิคเธียเตอร์ เรียนแบบจริงจังเลยค่ะ แล้วช่วงที่เขาเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยรังสิต เขาก็มีไปรับงานบ้าง แต่เขาจะไม่ค่อยรับงานในวงการบันเทิง เพราะว่าเขาตั้งใจว่าเขาจะโฟกัสที่การเรียนให้ได้ดี ซึ่งตอนนี้ก็เรียนจบแล้ว แพลนของเขา ตอนแรกพอเห็น น้องหนังไปเกาหลีใช่ไหมค่ะ เขาก็คุยกันว่าที่เกาหลีคนเขียนบทเก่งมากเลย หนุนมาเรียนที่นี่ไหม หนุนเขาก็คิดว่าก็ดีเนอะ แต่พอเขาเห็นว่าพี่ตั้วเสีย เขาก็เลยคิดว่าเขาอยู่เป็นเพื่อนเราดีกว่า เขาก็เรียนออนไลน์บางอย่างที่เขาเรียนได้ แล้วเขาก็ไปทางดนตรี ส่วนมากตอนนี้เขาอยากเขียนเพลงเองได้ ทำดนตรีของเองได้ ถามว่าจะดันให้เขาเป็นนักร้องเลยไหม เขาก็ชอบร้องเพลงนะคะ เสียงเขาก็ได้อยู่ เพราะว่าเขาชอบร้องอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าหนุนอาจจะแตกต่างจากหนัง เพราะหนังจะกล้าแสดงออก แต่หนุนจะขี้อาย แต่พอเขาไปได้เรียนมากขึ้น ได้ไปเจอกับหนึ่ง จักรวาล ได้เข้าไปห้องอัด เขาก็จะรู้สึกว่าเขามั่นใจมากขึ้น แต่เราก็ไม่ได้จะดันให้เขาเป็นนักร้องนะคะ เพราะว่าลูกของพี่เปิ้ลก็เป็นตัวของตัวเองเหมือนกัน อะไรที่เขาคิดว่าไม่ใช่ เขาก็จะมีเหตุผลมาให้เรา

s__73809941

ถาม พูดถึงน้องหนุนแล้ว เรามาพูดถึงน้องหนังบ้าง เห็นว่าเป็นคนที่กล้าแสดงออก พูดง่ายๆ คือดื้อกว่าไหม

เปิ้ล หัทยา : ดื้อกว่าค่ะ ด้วยความที่น้องหนังเป็นคนที่สูงยาว เพราะเขาสูง 174 ส่วนหนุน 167 แต่เขาเป็นฝาแฝดกันนะคะ เพียงแค่ไข่คนละใบ น้องหนังไปเรียนจิตวิทยาที่เกาหลี เพราะด้วยความที่ว่าเขาเคยทำงานในไทยมาก่อน ทำงานเกี่ยวกับแฟชั่นโชว์ แต่พอถึงช่วงที่เขาเข้ามหาวิทยาลัย เขาเข้าไปแล้วที่อักษร จุฬาฯ แต่เขาถูกคนมองว่าพี่ลูกของพี่ตั้ว พี่เปี้ล เขาเลยคิดว่าเขาลองไปสมัครอยู่ที่ต่างประเทศดูดีกว่า เรื่องมีอย่างนี้ค่ะ เมื่อตอนที่น้องหนังอายุ 16 แล้วคือไปแคสบทละครแล้วไม่ได้ พี่ตั้วมาทราบทีหลัง เขาเลยโกรธมาก โดนดุทั้งสามคนเลยว่าทำไมไปแคสแล้วไม่บอกเขา ต้องให้เกียรติเขานะ เพราะว่าเขามีทุกวันนี้ได้ เพราะการที่เขาเป็นนักแสดง แล้วที่ไปแคสกัน เพราะอะไรอยากดังหรือว่าอะไรยังไง ตอนนั้นคือแรงมากเลยค่ะ น้องหนังเขาเลยคิดแบบนี้ว่าเขาไปอยู่ที่อื่นโดยที่ทุกคนไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร เป็นลูกใคร เขาน่าจะสบายใจดีกว่า แต่พอเขาไปเรียนที่เกาหลี เขาก็ถูกชักชวนให้ไปถ่ายแบบเหมือนกันนะคะ เขาก็เลยบอกพี่ตั้วว่าเขาขอนะ ซึ่งครั้งนี้พี่ตั้ว เขาก็โอเค เขาก็สัญญาว่าจะไม่ทำให้การเรียนเสีย แล้วพอน้องหนังเรียนปีสาม เขาก็ได้ไปแคสซีรีส์ ก็แคสผ่าน แล้วเขาก็มาคุยกับพ่อว่าทางค่ายขอให้เขาหยุดเรียนเทอมนี้ได้ไหม เพราะว่าต้องเข้าไปเรียนทุกอย่างแบบจริงจัง พี่ตั้วก็เลยให้ เราก็บินไปดูที่นั่นว่าเป็นยังไง แต่พอเขาเรียนไปได้หนึ่งปี พี่ตั้วก็ไม่สบายแต่ตอนแรกเราก็ไม่ได้บอกน้อง ว่าเป็นอะไร แต่พอ น้องหนังได้กลับมาช่วงกุมภาพันธ์ แล้วก็อยู่ไทยยาวเลย ปีกว่า จนกระทั่งเพิ่งกลับไปปลายมีนาคม ก่อนที่เราจะเจอโควิดระลอกที่สาม เขากลับไปเรียนต่อทางด้านการแสดง แล้วก็เรียนออนไลน์ไปด้วย เพราะเหลืออีกไม่กี่วิชาก็จบ

ถาม แล้วหลังจากพี่ตั้วไม่อยู่แล้ว พี่เปิ้ลหนักแค่ไหนในเรื่องการดูแลครอบครัว

เปิ้ล หัทยา : ก็หนักนะคะ ยอมรับว่าหนัก เพราะว่าลูกทั้งสองคนของเรา เขาก็จะมีมุมมองหลายทางของเขา โดยเฉพาะ น้องหนัง เขาก็เผลอหลุดออกมาเหมือนกัน แบบไม่ได้ตั้งใจว่าถ้าพ่ออยู่ หนูว่าคุยเรื่องนี้กับพ่อ ไม่นานก็จะได้คำตอบแล้ว กับแม่ทำไมนานมากเลย พี่เปิ้ลก็จะแบบคิดก่อนว่าเราต้องทำอะไร พูดยังไงดี กับน้องหนุน แม่ช้าจังเลย ถ้าเป็นพ่อนะ จะโอเคเลย บางทีมันก็หนักเหมือนกัน แต่หนักที่สุดในตอนนี้คือเรื่องงานกับเงิน เพราะว่าเราก็ต้องมีวิธีการใช้ยังไงให้ดี ตรงไหนสำคัญ ตรงไหนไม่สำคัญ เพราะว่าเราต้องดูแล ตอนนี้เราต้องดูแลวิทยุ และก็ละครที่พี่ตั้วยังทำค้างอยู่ แล้วพอละครจบ จะไปทางไหนต่อ ซึ่งทีมงานพี่ตั้วที่ทำด้วยกันมาก็แข็งแรงประมาณหนึ่งเลย สามารถที่จะทำละครต่อยอดไปด้วยได้ เราเลยต้องมาคำนวณดีๆ ว่าเราจะไปในทิศทางไหน ส่วน YouTube ของพี่เปิ้ลที่ทำ ค่อนข้างที่จะลอยตัว โอเคเลย

ถาม พี่เปิ้ลรู้สึกยังไงบ้างกับคำที่ว่าเราคือผู้หญิงแกร่งของวงการ

เปิ้ล หัทยา : ยังมีคนที่แกร่งกว่าพี่เยอะค่ะ เขาอาจจะไม่ได้อยู่ในฐานะที่มาออกทีวี เวลาที่เราสัมผัสหรือจัดรายการที่เราคุยกับแฟนคลับ บางคนเขาแกร่งกว่าเราเยอะมาก แบบปากกัดตีนถีบเลย เราก็เลยคิดว่าเราต้องเดินหน้าต่อไปให้ไหวในระยะที่ต้องทำอะไรหลายอย่างด้วยตัวเราเอง แล้วคุณแม่ก็มาเสียไปด้วย แต่เราก็ต้องรับให้ได้ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ซึ่งหลังจากที่พี่ตั้ว เสียไป เราก็หันมาดูแลสุขภาพของตัวเองมากขึ้น เพราะว่าพี่ตั้วไม่ได้ไปตรวจร่างกายแค่สองปี เพราะว่าเขาทำงานหนักมาก เยอะมาก มันทำให้ไวรัสตับบีที่มีอยู่ในตัวเขากลายพันธุ์ไป ทำให้เรารักษาไม่ทัน ทำให้เรารู้สึกผิดที่ทำไมไม่ลากเขาไปตรวจเพราะเขาก็บอกเราตลอดว่าร่างกายแข็งแรงดี เพราะจากที่เราดูข้างนอกคือดูดีจริงๆ พอหลังจากนั้นมาพี่เปิ้ลก็ตรวจร่างกายแบบทั้งหมด พอเราสูญเสียคนที่เรารักไป ทำให้เรารู้สึกเลยว่าทุกอย่างอย่าไว้ใจ อย่าประมาทในทุกๆ นาทีของชีวิต

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวบันเทิง เป็นกระแส