กระบะซิ่งชน ตร. ดับคาด่าน มอบตัวอ้างไม่เห็น ตกใจขับหนี โดนข้อหาพยายามฆ่า

30 ส.ค. 61
จากกรณีที่ดาบตำรวจกิตติศักดิ์ แปวกระโทก ผู้บังคับหมู่งานป้องกันและปราบราม สถานีตำรวจภูธรโชคชัย จ.นครราชสีมา ซึ่งถูกรถยนต์กระบะชนเสียชีวิต ขณะกำลังตั้งจุดตรวจสกัดกั้นยาเสพติด บนทางหลวงหมายเลข 24 หลักกิโลเมตรที่ 51 ฝั่งขาเข้าตัวอำเภอโชคชัย บ้านปรางค์น้อย หมู่ที่ 9 ต.พลับพลา อ.โชคชัย จ.นครราชสีมา เมื่อช่วงเช้ามืดของวันที่ 29 ส.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งต่อมา ตำรวจได้ติดตามยึดรถยนต์กระบะต้องสงสัยสีขาว ลักษณะแต่งซิ่ง ซึ่งถูกจอดทิ้งเอาไว้ภายในอู่ซ่อมรถบรรทุก ใกล้จุดเกิดเหตุ
นายสุภวิทย์พร้อมญาติ และทนายความเดินทางมาที่ สภ.โชคชัย
ล่าสุด วันที่ 30 ส.ค. 61 นายสุภวิทย์ ก่อหาญ อายุ 20 ปี ชาว อ.ห้วยแถลง จ.นครราชสีมา คนขับรถยนต์กระบะคันดังกล่าว พร้อมมารดา และนายเกริกฤทธิ์ โชติธาพิพัฒน์ ทนายความส่วนตัว เดินทางเข้ามอบตัวกับ พลตำรวจตรีวัชรินทร์ บุญคง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา โดยนายสุภวิทย์ ยอมรับว่า เป็นคนขับรถยนต์กระบะที่พุ่งชนตำรวจจริง โดยให้การว่าก่อนเกิดเหตุได้ขับรถยนต์ไปส่งเพื่อนที่บ้าน ซึ่งอยู่ในเขต ต.บ้านเกาะ อ.เมือง จ.นครราชสีมา และกำลังขับรถกลับไปที่ทำงานซึ่งเป็นอู่ซ่อมรถบรรทุก อยู่ใน อ.โชคชัย เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุ ได้ขับรถยนต์กระบะตามหลังรถยนต์เก๋งที่วิ่งอยู่ด้านหน้า โดยวิ่งอยู่ทางเลนด้านขวาของถนน ใช้ความเร็วประมาณ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุ มีตำรวจพุ่งออกมาขวางหน้ารถตนกระชั้นชิด โดยที่ตนไม่ทันเห็น จึงขับรถพุ่งชนอย่างแรง เนื่องจากตนมองไม่เห็น และไม่ทราบว่ามีด่านตรวจอยู่ จนกระทั่งตนขับรถชนแล้ว จึงรู้ว่ามีการตั้งด่านตรวจ ตนตกใจมากจึงขับรถหลบหนีไป จนกระทั่งทราบข่าวว่าชนตำรวจเสียชีวิต จึงติดต่อให้ครอบครัวพาเข้ามอบตัวกับตำรวจ พร้อมกราบขอโทษครอบครัวของตำรวจที่เสียชีวิตด้วย และยินดีจะชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมด
เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบปากคำนายสุภวิทย์
พลตำรวจตรีวัชรินทร์ บุญคง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า หลังจากคนขับรถยนต์กระบะได้เดินทางเข้ามอบตัวแล้ว ก็จะส่งมอบตัวไปให้พนักงานสอบสวน สภ.โชคชัย เจ้าของพื้นที่ดำเนินคดีต่อ เบื้องต้นก็จะแจ้งข้อหาฆ่าเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากการสอบปากคำพยานที่เป็นเป็นตำรวจ ที่ปฏิบัติหน้าที่พบว่า พฤติกรรมของคนขับขณะเห็นด่านตรวจของเจ้าหน้าที่ ได้มีการชะลอรถแล้ว ก่อนจะเร่งเครื่องพุ่งชนเจ้าหน้าที่ตำรวจจนเสียชีวิต ส่วนคนขับจะให้การอย่างไรนั้น ก็ถือเป็นสิทธิ์ที่กระทำได้ ซึ่งตำรวจจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
นายสุภวิทย์ ก่อหาญ ผู้ต้องหา และทนายความ
พ.ต.อ.จักรภัณฑ์ จันทรอุทัย ผู้กำกับการ สภ.โชคชัย เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้รายงานการเสียชีวิตของดาบตำรวจกิตติศักดิ์ ให้ ผบ.ตร.ทราบแล้ว ซึ่งเบื้องต้นทราบว่าจะมีการปูนบำเหน็จให้เลื่อนขั้น 4 ชั้นยศ เป็นยศพันตำรวจตรี พร้อมกับขึ้นเงินเดือนให้ 5 ขั้น เนื่องจากเป็นการเสียชีวิตขณะปฏิบัติงานราชการ ส่วนการช่วยเหลือสวัสดิการให้กับครอบครัวนั้น อยู่ระหว่างพิจารณาว่าอาจจะให้คนในครอบครัวเป็นข้าราชการ และให้ทุนการศึกษากับบุตรของผู้เสียชีวิตจนเรียนจบระดับปริญญาตรีต่อไป ขณะที่งานบำเพ็ญกุศลศพ มีกำหนดการที่จะบำเพ็ญกุศลศพดาบตำรวจกิตติศักดิ์ ไปจนถึงวันที่ 1 ก.ย. และจะประกอบพิธีพระราชทานเพลิงศพ ในวันอาทิตย์ที่ 2 ก.ย. ต่อไป
งานศพดาบตำรวจ กิตติศักดิ์ แปวกระโทก
ด้านบรรยากาศงานศพของดาบตำรวจ ที่วัดท่าอ่าง ต.ท่าอ่าง อ.โชคชัย จ.นครราชสีมา เป็นไปด้วยความเศร้าโศกของญาติพี่น้อง โดยมีตัวแทน และหน่วยงานต่าง ๆ นำพวงหรีดมาแสดงความอาลัยเป็นจำนวนมาก หนึ่งในนั้นมีพวงหรีดของ พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รอง ผบ.ตร.ด้วย โดยคืนนี้ จะมีพิธีสวดพระอภิธรรมศพเป็นคืนที่ 2 ซึ่งทางตำรวจภูธรภาค 3 จะเป็นเจ้าภาพในพิธี
นางคะนึง บดกระโทก พี่สาวของผู้เสียชีวิต
ทั้งนี้นางคะนึง บดกระโทก อายุ 54 ปี พี่สาวของดาบตำรวจกิตติศักดิ์ เปิดเผยว่า ครอบครัวของตน มีพี่น้องอยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 คน ดาบตำรวจกิตติศักดิ์ เป็นน้องคนสุดท้อง ส่วนพ่อกับแม่ เสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็กแล้ว กลายเป็นเด็กกำพร้า ซึ่งในวัยเด็กนั้นดาบตำรวจกิตติศักดิ์ เป็นคนที่ร่าเริง ชอบเข้าวัดทำบุญเป็นประจำ แต่ด้วยความยากจนทำให้ไม่มีเงินเรียนหนังสือ น้องชายของตนจึงได้บวชเณรตั้งแต่จบชั้น ป.6 และได้เรียน กศน. โดยอาศัยฟังจากวิทยุ และอ่านหนังสือเอง กระทั่งต่อมาได้ลาสิกขาบทไปสอบติดเป็นตำรวจ สร้างความภาคภูมิใจให้กับพี่น้องเป็นอย่างมาก ซึ่งชีวิตในช่วงเป็นตำรวจ ก็ขยันทำงาน หาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัว ภรรยาและลูก 2 คน เป็นเสาหลักให้กับครอบครัว นอกจากนี้ยังเป็นที่พึ่งของญาติพี่น้อง แต่เมื่อทราบข่าวว่าต้องมาเสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ก็ทำให้ตนรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก และเป็นห่วงหลานทั้ง 2 คน ที่ยังเรียนหนังสืออยู่ชั้น ม.5 และ ป.3 หลังจากนี้ก็ขอให้น้องชายไปสู่สุคติ ส่วนหลานทั้ง 2 คน ก็หวังว่าทางราชการจะช่วยเหลือให้ได้เรียนหนังสือจนจบ และมีงานทำอย่างมั่นคงในอนาคต

advertisement

ข่าวยอดนิยม

ข่าวที่ได้รับความสนใจ