จากกรณีแฟนเพจเฟชบุ๊ก "ดาวแปดแฉก" ได้โพสต์เรื่องราวพร้อมตั้งคำถามหลายคำถามว่า นี่หรือลุงพลตั้งใจมอบตัว? เปิดวงจรปิดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันที่ 2 มิ.ย. 64 คำถามที่น่าสนใจคือ ผู้รู้กฎหมายย่อมทราบดีว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ใช่ที่ทำการของพนักงานสอบสวน? หากต้องการมอบตัวทำไมไม่นั่งรถยนต์มาคันเดียวกับทนายความ เมื่อถึงที่หมายมีสื่อมวลชนจำนวนมากรอ ก็ให้ผู้ต้องหาป่าวประกาศขอมอบตัวภาพเสียงชัดเจนว่ามีเจตนาบริสุทธิ์ที่ต้องการมอบตัว
วันที่ 12 มิ.ย. 64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ลงพื้นที่ไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ สำรวจประตูรั้วหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติฝั่งด้านหน้า ติดกับถนนพระรามที่หนึ่ง ซึ่งประตูที่ 1 เป็นประตูกว้าง มีประตูเล็กด้านข้าง ไม่มีจุดหลบมุมแต่อย่างใด
โดยประตูที่ 1 คือประตูที่กล้องวงจรปิดสามารถจับภาพรถกระบะของทนายษิทรา ในวันที่เดินทางเข้ามาและพบกับสื่อมวลชน โดยประตูดังกล่าวเป็นประตูหลักที่บุคคลที่จะเข้ามาภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติส่วนใหญ่จะเข้าประตูนี้ บริเวณดังกล่าวมีจุดของเจ้าหน้าที่กองรักษาการณ์คอยดูแลผู้ที่จะเข้าออก ด้านข้างมีรั้วขนาดเล็กกั้นไว้ ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีประตูเข้าออกทั้งหมด 2 ด้าน คือ ด้านถนนพระรามที่ 1 จำนวน 2 ประตู และด้านถนนอังรีดูนังค์ 2 ประตู
ทนายเกิดผล แก้วเกิด ทนายความ กล่าวว่า กรณีที่ภาพจากกล้องวงจรปิด ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ทนายความและลุงพลมารถคนละคันกันนั้น ตนเองไม่ทราบว่าทั้งคู่นัดหมายกันอย่างไร แต่เท่าที่ฟังก็คือการไปมอบตัว แต่นัดหมายไปเจอกันที่ สตช.ตนเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่ามีนัยอะไรหรือไม่ ตนเองมองว่าเป็นเพียงเทคนิคเข้ามอบตัว เพื่อให้ศาลเห็นว่าไม่มีพฤติการณ์หลบหนี แต่ถ้าตนเองเป็นทนายความ แล้วหมายจับออกขณะที่ลุงพลอยู่กกกอก ก็จะพาไปมอบตัวใน สภ.ท้องที่
ด้านนางสาวิตรี พร้อมนายอนามัย วงศ์ศรีชา พ่อและแม่ของน้องชมพู่ ไปรับผ้าย้อมครามจากจังหวัดสกลนคร เพื่อมาขายที่บ้าน เดินทางออกจากบ้านตั้งแต่เวลา 08.00 น. และกลับเข้าบ้านเวลา 14.00 น. เมื่อมาถึงบ้าน นางสาวิตรี และนายอนามัย ได้จัดเตรียมผ้ามาวางเรียงโต๊ะ ประกอบด้วยผ้าฝ้ายคลุมไหลย้อมคราม ผ้าคลุมไหล่ไม่ย้อมครามสีขาว รวมประมาณ 80 ผืน เพื่อทำการไลฟ์ขายผ่านเพจเฟชบุ๊กร้านผ้าแม่น้องชมพู่ บ้านกกกอก
โดยแม่น้องชมพู่ ให้ข้อมูลว่า วันนี้ตัวเองงดให้สัมภาษณ์ เนื่องจากหลังจากนี้จะกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ ซึ่งมีการเริ่มต้นขายผ้าวันนี้เป็นวันแรก เวลา 16.00 น. มีชาวบ้านจากจังหวัดร้อยเอ็ด เดินทางมาเยี่ยมให้กำลังใจครอบครัวน้องชมพู่ถึงที่บ้าน
เวลา 17.00 น. นายอนามัย และนางสาวิตรี แม่น้องชมพู่ ได้ไลฟ์ขายผ้า ผ้าคลุมไหล่ย้อมครามในราคา 800 บาท และขายผ้าถุงย้อมครามในราคา 900 บาท เป็นการไลฟ์ขายผ้าวันแรกของครอบครัวน้องชมพู่ หลังจากไม่ได้เปิดร้านขายมานาน เนื่องจากติดเรื่องของคดีความน้องชมพู่
ส่วนกรณีที่ปู่มหามุนี ออกมาไลฟ์สดถึงเรื่องของเงินประกันตัวของลุงพล ที่มีแฟนคลับบางคนโอนเข้ามาให้นั้น แล้วเงินจำนวนดังกล่าวไปอยู่ที่ไหน โดยยังระบุว่าอย่าเอาความสงสารของเอฟซีไปเป็นเครื่องบรรณาการ เพราะเอฟซีทุกคนให้ด้วยความรัก จึงมีการพูดถึงคลิปดังกล่าวว่าปู่มหามุนีหมายถึงใครกันแน่
จากกรณีที่ปู่มหามุนี ออกมาไลฟ์สดถึงเรื่องของเงินประกันตัวของลุงพล ที่มีแฟนคลับบางคนโอนเข้ามาให้นั้น แล้วเงินจำนวนดังกล่าวไปอยู่ที่ไหน โดยยังระบุว่าอย่าเอาความสงสารของเอฟซีไปเป็นเครื่องบรรณาการ เพราะเอฟซีทุกคนให้ด้วยความรัก จึงมีการพูดถึงคลิปดังกล่าวว่าปู่มหามุนีหมายถึงใครกันแน่
นายชัยรัตน์ ยอดพรม หรือ ปู่มหามุนี เปิดเผยว่า ตนเองขอชี้แจงกรณีที่ได้ไลฟ์พูดเรื่องราวดังกล่าว ขอไม่พูดถึงว่ากล่าวถึงใคร เพราะอาจจะติดคุกและไม่มีคนประกันตัว ยืนยันว่าไม่ได้แตกหักหรือมีปัญหากับใคร เพราะฉะนั้นเจตนาของตนเองนั้น คือพยายามเป็นห่วงเอฟซี มองว่าเอฟซีทั่วโลกของลุงพลนั้น บเสมือนครอบครัวของเขา ทุกคนรักลุงพลมาก แต่เป็นจุดบอดเพราะบางคนก็ถูกมิจฉาชีพมีการโกงทางโลกออนไลน์ มีการโอนบริจาคต่าง ๆ มีประเด็นขึ้นมา มีมิจฉาชีพปลอมตัวมารับเงินบริจาค ตนเองจึงอยากปกป้องเอฟซี เพราะเป็นประชาชนตาดำ ๆ เอาความรักความห่วงมาเป็นเครื่องต่อรองกับลุงพล เราจึงต้องปกป้องพี่น้องเอฟซีทุกคน
ถามว่ากลัวถูกฟ้องหรือไม่ที่ออกมาพูด ตนเองยืนยันว่าไม่กลัว เพราะตนเองเป็นนักโทษมาแล้ว ส่วนบุคคลเหล่านั้นเขาไม่เคยเข้าคุกแบบตนเอง และตนเองเป็นยังเป็นนักโทษดีเด่น ที่ไม่เคยกลับเข้าคุกอีกเลย ตนเองทราบมาว่ามีเอฟซีหลายคนส่งเงินมาให้ลุงพลช่วยเรื่องประกันตัวจริง แต่ตนเองอยากจะบอกว่าทุกฝ่ายมีกันหมด แม่น้องชมพู่ก็มีเอฟซีมีคนปกป้อง ลุงพลก็มีเอฟซี มีคนปกป้อง แล้วใครที่จะปกป้องเอฟซี ตนเองจึงต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ตนเองยังเคยเตือนเอฟซีว่าหากจ่ายเร็ว โอนไว ให้สนับสนุนเป็นผลิตภัณฑ์ดีกว่าหรือไม่ ลุงจะได้สู้ด้วยตัวเอง
ส่วนกรณีที่ทนายสมเกียรติพูดถึงลุงพลกับยูทูเบอร์นั้น ตนเองมองว่าทนายสมเกียรติมีความห่วงใย เพราะทนายสมเกียรติรักลุงพล เป็นทั้งน้อง ทั้งเพื่อน ทุกคนที่แสดงตัวออกมานั้นก็ให้ความสำคัญกับลุงพลคนเดียว และแสดงความเจตนาดี ยู่เคียงข้างลุงพล ถามว่าทำไมลุงพล และยูทูเบอร์ไม่ไปทำมาหากิน ตนเองมองว่ายูทูปเปอร์ทำมาหากินคือไลฟ์สด ลุงพลก็ขายของ ขายในยูทูบอยู่แล้ว และบางครั้งนั้นที่ไม่ให้สื่อสัมภาษณ์ก็คงจะกังวลว่าจะมาถามเรื่องคดี แล้วจะตอบไม่ได้ แต่ถ้าหากถามสารทุกข์สุกดิบก็ตอบได้ ตนเองยังมองว่าทุกวันนี้ลุงพลพูดน้อยลงด้วย
