สาววอนช่วยแม่ติดโควิดอาการทรุด รพ.อ้างเตียงเต็ม จวกรัฐรักษาฟรีไม่มีจริง (คลิป)

จากกรณีการพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ภายในศูนย์เด็กเล็กเทศบาลตำบลแม่คือ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ภายหลังได้มีการดำเนินการเปิดเป็นโรงพยาบาลสนามเฉพาะกิจทันที เพื่อลดปัญหาการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย และการป้องกันการแพร่ระบาดในพื้นที่ เมื่อวันที่ 23 เม.ย. 64 เป็นวันแรกของการนำกลุ่มผู้ป่วยติดเชื้อเข้าทำการรักษาและกักตัวภายในโรงพยาบาลสนามเฉพาะกิจ มีเด็กเล็กจำนวน 16 คน ผู้ปกครองเด็ก 4 คน และครูอีก 3 คน รวมทั้งหมด 23 คน

วันที่ 24 เม.ย. 64 ความเป็นอยู่ของเด็กเล็ก และผู้ปกครอง รวมทั้งครูภายในโรงพยาบาลสนาม ยังคงมีความปกติ ในช่วงสายวันนี้ทางครูและผู้ปกครองได้มีการปล่อยให้เด็กออกมาวิ่งเล่นผ่อนคลาย บริเวณสนามเด็กเล่น ซึ่งเป็นจุดที่ทางเจ้าหน้าที่ได้มีการปิดกั้นพื้นที่ เพื่อไม่ให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าใกล้ เด็ก ๆ ยังคงมีความสดใสร่าเริงและปกติ หลังจากที่คืนวานนี้ต้องนอนค้างคืนที่โรงพยาบาลสนามเป็นคืนแรก แต่เจ้าหน้าที่ก็ยังคงมีการติดตามดูแลและประเมินอาการของเด็กอย่างใกล้ชิด

นางสาวสุริ ศรีสารพฤกษ์ ปลัดเทศบาลตำบลแม่คือ พร้อมด้วยนายจิระชาติ ซื่อตระกูล นายอำเภอดอยสะเก็ด พร้อมคณะเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องได้เดินทางมาติดตามสถานการณ์ ร่วมประชุมหารือแนวทางการปฏิบัติงานร่วมกับทางเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย พร้อมทั้งได้ติดตามสถานการณ์ผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ผ่านทางกล้อง CCTV จำนวน 8 ตัวภายในโรงพยาบาลสนาม

ในส่วนของปัญหาที่พบตอนนี้คือเรื่องของการขาดแคลนคนดูแลภายใน เนื่องจากมีครูที่ติดเชื้อ 2 ท่าน และการดูแลเด็ก ๆ เหล่านี้จำเป็นที่จะต้องใช้ครูที่มีประสบการณ์ ทำให้อัตราส่วนไม่เพียงพอป ระกอบกับสภาวะเครียดที่ป่วยมาแล้ว และต้องมาดูแลเด็กอีก เนื่องจากก็มีเด็กบางรายที่นอนหลับดึก ทำให้ครูไม่ได้พักผ่อนไปด้วย

สถานการณ์โรคระบาดของโควิด-19 ะบบการจัดการในการรับตัวผู้ติดเชื้อจากบ้านไปยังโรงพยาบาล ตลอดจนปัญหาเรื่องสถานพยาบาลที่ตอนนี้เรียกว่าเตียงผู้ป่วยไม่เพียงพอ ทำให้มีหลายเคสที่ติดเชื้อแล้วยังคงต้องรอการติดต่อมาจากโรงพยาบาล เพื่อรับตัวผู้ป่วยไปรักษา บางรายถึงขั้นอาการทรุดหนักก่อนที่ทางทีมแพทย์จะเข้ามารับตัว และบางรายเสียชีวิตก่อนได้รับการช่วยเหลือ

น.ส.วิลาวัลย์ ออกมาโพสต์ระบายสิ่งที่เจอผ่านเพจเฟซบุ๊ก หลังที่คุณพ่อและคุณแม่ของเจ้าตัวติดเชื้อโควิด-19 จนอาการเริ่มหนักแต่ก็ยังไม่ได้รับการติดต่อจากทางโรงพยาบาลเพื่อติดต่อมารับเข้าการรักษา ข้อความประมาณว่า " คุณพ่อคุณแม่ทราบผลเป็นบวกมาตั้งแต่วันที่ 17 เม.ย. จนถึงวันที่ 24 เม.ย. ก็ยังไม่มีหน่วยงานไหนติดต่อหาโรงพยาบาลให้ได้..."

ล่าสุด น.ส.วิลาวัลย์ เปิดเผยว่า ช่วงเที่ยงก็ได้มีทีมงานจากศูนย์เอราวัณ มารับตัวคุณพ่อไปรักษาที่โรงพยาบาลโรคทรวงอกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงทางคุณแม่วัย 75 ปี ที่ยังคงอาศัยอยู่ในบ้าน แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ

ทั้งนี้ ปกติบ้านของตนจะอยู่อาศัยด้วยกัน 5 คนคือ คุณพ่อ คุณแม่ ตน ลูกสาว และน้องสาว โดยสาเหตุที่ทางคุณพ่อกับคุณแม่ของตนติดเชื้อโควิด-19 นั้นมาจากที่ทางลูกสาวของตนวัย 27 ปี ตรวจพบเชื้อช่วงวันที่ 10 เม.ย. ที่ผ่านมา ก่อนที่จะเข้ารับการรักษาที่ฮอสพิเทล ต่อจากนั้นตนและครอบครัวที่เหลืออีก 4 คน ทำการกักตัวเพื่อสังเกตอาการ จนครบ 7 วัน ก็ได้เดินทางไปขอตรวจที่โรงพยาบาลรัฐ แต่กลับไม่ทันคิวที่ตรวจฟรี เลยติดต่อไปทางโรงพยาบาลเอกชนกลับได้รับแจ้งว่าไม่มีน้ำยา สุดท้ายด้วยความที่ตนไม่สามารถรอได้ พาครอบครัวไปตรวจที่เอกชน ยอมควักเงินจ่ายเองประมาณวันที่ 17 เม.ย. 64 ช่วงเวลา 10.00 น. ต่อมานช่วง 20.00 น. ก็ทราบผลว่าทางคุณพ่อและคุณแม่ของตนติดเชื้อโควิด-19 แต่ก็ได้รับแค่คำตอบว่าจะประสานให้ ตลอดระยะเวลากว่า 1 สัปดาห์ รวมถึงการรักษาอยู่ที่บ้านก็ไม่ได้มียารักษาส่งมาให้ มีเพียงแค่ทีมแพทย์ที่ติดต่อโทรเข้ามาเพื่อสอบถามอาการเป็นรายวัน

ยอมรับว่าการออกมาโพสต์นั้นส่วนตัวรู้สึกสงสารคุณพ่อที่อายุกว่า 80 ปี หนำซ้ำอาการของคุณพ่อเริ่มทรุดหนักขึ้นจากภาวะโรคประจำตัว ทำให้ไข้ขึ้นสูง ประจวบกับมีอาการไอ ทานอาหารไม่ได้ ท้องเสีย คุณหมอเองก็ประเมินว่าอาการของคุณพ่อเข้าขั้นระดับสีเหลือง หรือเกือบวิกฤตมาแล้วประมาณ 2-3 วันก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังไม่มีทางโรงพยาบาลไหนติดต่อมารับตัวไปรักษา

เช่นเดียวกับทางคุณแม่ของตนวัย 75 ปี ที่มีภาวะความเสี่ยงเบาหวาน ก็เริ่มมีอาการหนักขึ้น เริ่มท้องเสียและทานอาหารไม่รับรู้รสชาติแล้ว ตลอดจนมีไข้ขึ้น แต่ก็ไม่มีหน่วยงานไหนติดต่อมาเช่นกัน ส่วนตัวรู้สึกน้อยใจและหมดหวังกับทางเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพราะที่ผ่านมามองว่าข้อมูลที่เขาออกมาสื่อสารกับตรงกันข้ามหรือสวนทางกับสิ่งที่ผู้ป่วยเจอ ทางทีมแพทย์บอกว่ามีที่รองรับพอ แต่พอเราติดต่อกลับไป กลับได้รับคำตอบว่าไม่มี เช่นเดียวกับข้อมูลทางภาครัฐที่บอกว่าสามารถรักษาฟรีได้ แม้เป็นโรคพยาบาลเอกชน แต่จริง ๆ ตนติดต่อไปทางเจ้าหน้าที่กลับแจ้งว่าต้องจ่ายส่วนต่างประมาณคืนละ 3,000 บาท

"เปรียบเทียบกับเคสของนักแสดง ที่ทุกคนต้องการให้ได้รับการช่วยเหลือ ได้รับการรักษาแบบเร่งด่วนเหรอ วันนี้ถ้าพ่อแม่ของตนไม่ได้รับการช่วยเหลือแล้วเกิดตายขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบ ทุกอย่างคือความเหลื่อมล้ำ"